มติการประชุมของคณะกรรมการ ศบค.ซึ่งมี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธานเมื่อวันศุกร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมานั้น ก็ค่อนข้างจะชัดเจนแล้วว่า รัฐบาลไม่อาจจะแบกภาระค่าใช้จ่าย ซึ่งส่วนใหญ่น่าจะดึงมาจากงบกลางของงบประมาณแผ่นดิน ในการบริหารจัดการโรคโควิด-19ซึ่งระบาดมาเป็นระยะเวลาประมาณ 2 ปีแล้ว โดยภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นนั้น มีทั้งในส่วนของการจัดซื้อวัคซีนเพื่อใช้ในการป้องกันโรค โดยการฉีดให้กับประชาชนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เพื่อให้ร่างกายสร้างภูมิต้านทานต่อโรคนี้ ค่าใช้จ่ายในเรื่องของการรักษาผู้ป่วยทั้งในโรงพยาบาลและสถานที่ต่างๆ ซึ่งมีจำนวนทั้งสิ้นเกือบจะถึง 2.5 ล้านรายแล้ว รวมทั้งค่าบริหารจัดการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับโรคนี้ด้วยทั้งหมด
การระบาดของโรคโควิด-19 ยังไม่มีทีท่าที่ชัดเจนว่าจะลดลง โดยทั่วทั้งโลกขณะนี้มีผู้ป่วยแล้วมากกว่า 410 ล้านราย หรือประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์ของประชากรทั้งโลก มีผู้เสียชีวิตไปแล้วมากกว่า5.8 ล้านราย และยังมีผู้ป่วยรายใหม่เกิดขึ้นวันละเป็นล้านราย โดยเชื้อที่เป็นสาเหตุในระยะหลังนี้ คือเชื้อสายพันธุ์โอมิครอน ซึ่งเป็นเชื้อที่ระบาดได้ง่ายและรวดเร็ว จึงทำให้จำนวนผู้ป่วยรายใหม่ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าเชื้อนี้จะเป็นเชื้อที่ไม่ก่อให้เกิดอาการรุนแรงเท่ากับเชื้อที่เคยเกิดขึ้นในอดีต แต่จากการที่มีผู้ป่วยเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก รวมทั้งผู้ที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนก็ยังมีอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย เมื่อเกิดการติดเชื้อกับคนกลุ่มนี้ จึงมีอาการที่รุนแรงจนเสียชีวิตได้
สำหรับในประเทศไทยนั้น จำนวนผู้ป่วยรายใหม่ที่เคยลดต่ำลงจนถึงระดับเพียงแค่ 3-4 พันรายต่อวันเมื่อประมาณ 3-4 สัปดาห์ก่อนหน้านั้น ขณะนี้ตัวเลขได้กลับมาเป็นการเพิ่มมากขึ้นเป็นจำนวนมากในแต่ละวัน ตัวเลขล่าสุดเมื่อ 1-2 วันก่อนอยู่ที่ระดับมากกว่า 15,000 ราย โดยมีผู้ที่รักษาหายต่ำกว่า 10,000 ราย เป็นตัวเลขที่กลับมาเป็นจำนวนติดลบ คือมีผู้ป่วยที่รักษาหายน้อยกว่าผู้ป่วยใหม่ในแต่ละวันอีกครั้งหนึ่ง โดยเชื้อที่เป็นสาเหตุของการป่วยคือเชื้อสายพันธุ์โอมิครอนซึ่งมีมากกว่า95 เปอร์เซ็นต์ และเมื่อมีจำนวนผู้ป่วยรายใหม่มากขึ้นจำนวนผู้เสียชีวิตก็ย่อมเกิดขึ้นในระดับหนึ่งอย่างแน่นอน จำนวนผู้ป่วยที่เสียชีวิตในแต่ละวันจึงยังอยู่ที่ระดับ 20 รายเศษ
ในช่วงใกล้ปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมานั้น เริ่มมีข่าวออกมาว่ากระทรวงสาธารณสุขอาจจะประกาศให้โรคโควิด-19 นี้เป็นโรคประจำถิ่น ซึ่งจะมีผลกระทบกลับมาสู่ประชาชนที่เจ็บป่วยอย่างแน่นอน เนื่องจากจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบดูแลรักษาตัวเองในเบื้องต้นมากขึ้นกว่าเดิมและสำหรับผู้ป่วยที่จะต้องเข้ารักษาในโรงพยาบาล ก็ต้องเข้ารับการรักษาตามสิทธิพื้นฐานของผู้ป่วยนั้นๆ เช่น สิทธิในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ก็ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้ ส่วนผู้ป่วยในระบบประกันสังคมก็ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลซึ่งผู้มีสิทธิได้ลงทะเบียนไว้เช่นกัน
เมื่อตัวเลขจำนวนผู้ป่วยรายใหม่ในแต่ละวันเพิ่มขึ้นเกินกว่า 1,000 ราย จนทำให้ตัวเลขล่าสุดเกินกว่า 10,000 ราย อย่างต่อเนื่องตามที่ได้กล่าวไปแล้ว ทำให้การที่กระทรวงสาธารณสุขจะประกาศให้โรคโควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่นนั้น ไม่สามารถจะดำเนินการได้เพราะการที่จะประกาศได้นั้นจะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่เกิดขึ้นจากการประชุมศบค. เมื่อวันที่ 27 มกราคม ดังนี้ 1.ผู้ป่วยรายใหม่ในแต่ละวัน ไม่เกิน 10,000 ราย2.อัตราการป่วยเสียชีวิต น้อยกว่าร้อยละ 0.1 3.ผู้ป่วยเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลน้อยกว่าร้อยละ 10 4.กลุ่มเสี่ยงป่วยรุนแรงได้รับวัคซีน 2 โดส มากกว่าร้อยละ 80จึงทำให้เชื่อได้ว่า กระทรวงสาธารณสุขจะยังไม่ออกประกาศตามที่ได้เคยพิจารณาไว้อย่างแน่นอน เพราะหากประกาศออกมาจะส่งผลกระทบอย่างมากมาย
หวังว่า ศบค.ซึ่งเปรียบเสมือนตัวแทนของรัฐบาลไทยจะยังไม่ประกาศให้โรคโควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่นเพราะขณะนี้ยังไม่มีประเทศใดที่ได้รับอนุญาตจากองค์การอนามัยโลกให้ประกาศว่าโรคโควิด-19 ที่เกิดในประเทศนั้นๆ เป็นโรคประจำถิ่น ซึ่งหากประกาศออกมาอย่างนั้นจริงๆ เมื่อไหร่ ก็หมายความว่าโรคโควิด-19 เป็นเหมือนโรคระบาดทั่วๆ ไป ที่ถึงแม้จะติดต่อกันได้ก็ไม่มีอันตรายที่รุนแรง มีแนวทางในการป้องกันรักษา มีวัคซีนที่ใช้ฉีดเพื่อทำให้เกิดภูมิต้านทาน และเมื่ออาการที่เกิดขึ้นไม่ร้ายแรง ก็อาจพักรักษาโดยการกักตัวอยู่ที่บ้านหรือกักตัวในชุมชนซึ่งรัฐบาลจัดไว้ ซึ่งภาระค่าใช้จ่ายในผู้ป่วยแต่ละรายค่อนข้างจะน้อย เปรียบเทียบกับสภาพปัจจุบันซึ่งยังถือว่าโรคนี้เป็นโรคระบาดฉุกเฉิน เมื่อป่วยจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลโดยที่ผ่านมานั้นรัฐเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด ยกเว้นผู้ที่มีประกันชีวิตที่ครอบคลุมการเจ็บป่วยส่วนบุคคลเท่านั้น ที่บริษัทประกันจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายให้
เฉพาะค่าใช้จ่ายในการรักษาผู้ป่วยแต่ละราย ที่จะต้องรักษาในโรงพยาบาล ซึ่งในระยะแรกอยู่ที่ 14 วัน แต่ตอนนี้ได้เปลี่ยนแปลงลดลงเหลือแค่ 10 วันนั้น มีค่า
ใช้จ่ายต่อคนโดยเฉลี่ยประมาณ 40,000 บาท หากเอามาคูณกับจำนวนผู้ป่วยที่เกิดขึ้นแล้วประมาณ 2.5 ล้านรายจะเป็นค่าใช้จ่ายทั้งสิ้นรวมแล้วมากกว่า 100,000 ล้านบาทและหากคิดค่าใช้จ่ายในการจัดซื้อวัคซีน ซึ่งตัวเลขเฉลี่ยต่อ 1 โดสของทุกยี่ห้อไม่น่าจะต่ำกว่า 500 บาท โดยขณะนี้ได้ฉีดไปแล้วเป็นจำนวน ประมาณ 120 ล้านโดสคิดเป็นค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการจัดซื้อวัคซีนไม่ต่ำกว่า 60,000 ล้านบาท ซึ่งยังไม่รวมค่าใช้จ่ายและค่าบริหารจัดการอีกจำนวนไม่น้อย ซึ่งเมื่อรวมตัวเลขงบประมาณที่ใช้ไปแล้วทั้งหมดน่าจะถึง 2 แสนล้านบาท ซึ่งย่อมมีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการบริหารงบประมาณแผ่นดินโดยภาพรวมทั้งหมด ซึ่งรัฐบาลจะไม่สามารถแบกภาระอย่างนี้ได้อีกต่อไป
จากการเริ่มต้นประกาศว่าผู้ป่วยที่ตรวจพบว่ามีการติดเชื้อจากการตรวจด้วยชุดตรวจ ATK และมีอาการเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีอาการ ให้รักษาโดยการกักตัวที่บ้านหรือชุมชน โดยรัฐสนับสนุนค่าใช้จ่ายจำนวน 1,000 บาทต่อวัน รวมเวลาไม่เกิน 10 วัน ตั้งแต่วันที่ 4 มกราคม เป็นต้นมา จากการประชุมศบค.เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ได้มีข้อสรุปให้กำหนดราคาค่าตรวจ ATK ใหม่ โดยตั้งเป้าว่าจะเป็นการตรวจเองของประชาชนในแต่ละวันประมาณ 56,000 ราย โดยชุดตรวจที่รัฐจัดให้ ซึ่งจัดหามาได้ในราคาประมาณ55 บาท จากราคาเดิม 80 บาท ส่วนการตรวจโดยหน่วยบริการต่างๆ จะได้รับค่าตรวจไม่เกิน 250 บาทต่อราย วันละประมาณ 50,000 ราย ส่วนการตรวจด้วยวิธี RT-PCR โดยหน่วยบริการต่างๆนั้น จะให้ตรวจได้ในกรณีที่มีอาการชัดเจน และให้เบิกค่าตรวจได้ในราคาเพียง 900 บาท จากเดิมซึ่งเคยกำหนดไว้ 1,200 บาท โดยตั้งเป้าการตรวจไว้วันละ 23,000 ราย และกำลังรอพิจารณาให้โรคโควิด-19 ไม่เป็นโรคฉุกเฉินที่จะเบิกเงินจากกองทุน COVID UCEP อีกต่อไป แต่จะให้ผู้ป่วยที่มีอาการเข้ารับการรักษาตามสิทธิพื้นฐานของการรักษาพยาบาลของแต่ละคนซึ่งมีอยู่แล้ว ซึ่งจะทำให้ลดภาระการใช้งบประมาณจากส่วนกลางลงได้อย่างมาก
การตัดสินใจดังกล่าวของศบค. นอกจากจะมาจากข้อมูลที่มีประชากรชาวไทยจำนวนมากกว่า80 เปอร์เซ็นต์ ที่ได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว น่าจะมาจากข้อมูลเชิงเปรียบเทียบของผู้ป่วยที่ติดเชื้อเดลต้าและโอมิครอนในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งเมื่อคำนวณจากจำนวนผู้ป่วยติดเชื้อที่ใกล้เคียงกันประมาณ 15,000 รายจะพบว่าผู้ป่วยติดเชื้อเดลต้ามีอาการปอดอักเสบมากกว่าติดเชื้อโอมิครอน 7.3 เท่า มีผู้ป่วยที่ต้องใส่ท่อช่วยหายใจมากกว่า 7.1 เท่า มีผู้ป่วยเสียชีวิตมากกว่า 11.1 เท่า และอัตราการเสียชีวิตมากกว่า 11.1 เท่าเช่นกัน ซึ่งเป็นข้อมูลที่ยืนยันว่าการติดเชื้อโอมิครอนมีอันตรายน้อยกว่าการติดเชื้อเดลต้าอย่างมากมาย จึงเป็นโรคที่ประชาชนน่าจะต้องดูแลตัวเองได้มากขึ้น ทั้งในเรื่องของการป้องกันโรคตลอดจนการดูแลรักษาตัวเอง หากติดเชื้อแล้วมีอาการเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีอาการเลย
เป็นที่น่าสังเกตว่า ถึงแม้ภาครัฐจะจัดหาวัคซีนมาเป็นจำนวนมากเพียงพอต่อการฉีดให้กับประชาชนแล้ว แต่จำนวนผู้เข้ารับการฉีดในระยะนี้ในแต่ละวันจะไม่เกิน 5 แสนราย ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาจะมีตัวเลขสูงกว่านี้มาก โดยบางวันแตะระดับ 1 ล้านราย อาจจะเนื่องมาจากประชาชนส่วนใหญ่ได้รับการฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 หรือเข็มที่ 2 ครบถ้วนแล้ว และคิดว่ามีภูมิต้านทานเพียงพอ โดยมีจำนวนผู้ฉีดเข็มกระตุ้นแล้วเพียงแค่ประมาณ 18 ล้านคนเท่านั้น จึงจะต้องมีการรณรงค์ให้มากยิ่งขึ้นกว่าการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น จะทำให้หากมีการติดเชื้อโควิด-19 นั้น จะไม่ก่อให้เกิดอาการเจ็บป่วยที่รุนแรง โดยอาการป่วยส่วนใหญ่จะคล้ายกับเป็นไข้หวัด มีอาการไข้ไม่สูง มีอาการไอ เจ็บคอ น้ำมูกไหล ปวดศีรษะหรือปวดตามเนื้อตัวได้ และมักจะหายได้ในระยะเวลาประมาณ 5 วันเท่านั้น
ประชาชนทุกคนต้องร่วมรับผิดชอบในการดูแลตนเองจากการเจ็บป่วยด้วยโรคโควิด-19 ซึ่งเป็นโรคที่เกิดขึ้นมาเอง ด้วยการเข้ารับการฉีดวัคซีน
ให้ครบตามแนวทางมาตรฐานรวมทั้งฉีดเข็มกระตุ้นด้วย นอกเหนือไปจากการดำเนินชีวิตตามแนวชีวิตวิถีใหม่ ที่ประกอบไปด้วยการสวมหน้ากากอนามัย การเว้นระยะห่างจากกัน การล้างมือ ซึ่งเป็นสิ่งต้องยึดถือปฏิบัติอยู่ตลอดเวลา อย่าได้ปฏิบัติตนแบบ นักการเมืองบางส่วนในสภา ที่รับเงินเดือนจากภาษีของประชาชน ถึงแม้จะเข้าร่วมประชุมสภา แต่เมื่อถึงเวลานับองค์ประชุม ก็ไม่แสดงตัว จนทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า สภาล่ม มาแล้วไม่น้อยกว่า 17 ครั้งเป็นการไม่รับผิดชอบต่อหน้าที่อย่างยิ่ง ไม่ได้เป็นตัวอย่างที่ดี ทั้งๆ ที่อ้างว่าเป็นตัวแทนของประชาชน
นายแพทย์ปิยะ เนตรวิเชียร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี