สถานการณ์การระบาดทั่วโลกของโรคโควิด-19 เริ่มชะลอตัวลงอย่างชัดเจนพอสมควร ทั้งนี้ น่าจะเป็นผลมาจาก เชื้อที่ระบาดอยู่เป็นส่วนใหญ่ในปัจจุบัน เป็นเชื้อสายพันธุ์โอมิครอน ซึ่งแม้จะติดต่อกันง่ายแต่ก็ไม่มีความรุนแรง ยกเว้นเสียแต่ว่า ผู้ป่วยที่ได้รับเชื้อเป็นผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยง อันได้แก่ผู้ที่มีอายุเกินกว่า 60 ปีขึ้นไป และผู้ที่มีโรคเรื้อรังประจำตัวที่เรียกกันว่ากลุ่ม 608 ประกอบกับการที่ประชาชนส่วนใหญ่ทั่วโลก ได้รับการฉีดวัคซีนมากขึ้นตามลำดับ
ตัวเลขของผู้ติดเชื้อทั่วโลกรวมทั้งหมดถึงวันที่ 21 พฤษภาคม มีอยู่ทั้งสิ้น ประมาณ 526 ล้านราย มีผู้เสียชีวิตรวมกันประมาณ 6.3 ล้านราย คิดเป็นอัตราการเสียชีวิต ประมาณ 1.2% ซึ่งต่ำกว่าระยะที่มีการระบาดรุนแรง มากพอสมควร ประเทศที่มีผู้ป่วยมากที่สุดคือประเทศสหรัฐอเมริกา มีผู้ป่วยรวมเกือบ 85 ล้านรายและเสียชีวิตไปมากกว่า 1 ล้านราย อันดับ 2 คือประเทศอินเดีย มีผู้ป่วยรวมมากกว่า 43 ล้านราย และเสียชีวิตไปมากกว่า 5.2 แสนราย ถัดไปคือประเทศบราซิล ฝรั่งเศสและเยอรมนีตามลำดับ ส่วนประเทศไทยนั้นมีผู้ป่วยสะสมตั้งแต่เริ่มการระบาดรวมทั้งสิ้นมากกว่า4.4 ล้านราย และมีผู้เสียชีวิตสะสมรวมเกือบ 3 หมื่นรายเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่า การระบาดของโลกนี้ในช่วงระยะ 2 ปีเศษ ได้ก่อให้เกิดผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจทั่วทั้งโลก อันเป็นผลมาจากแนวทางการดำเนินชีวิตที่ต้องมีการปรับเปลี่ยนไป ผู้คนทั่วโลกถูกจำกัดบริเวณในการใช้ชีวิตแบบปกติ ทำให้การดำเนินธุรกิจและกิจกรรมต่างๆ เกิดผลกระทบทั้งหมด ซึ่งรวมทั้งการเดินทางฝทั้งภายในและภายนอกประเทศ ทั้งในการติดต่อค้าขายต่างๆ และการท่องเที่ยว ซึ่งมีผลโดยรวมต่อการทำให้เศรษฐกิจตกต่ำลงด้วย ฉะนั้นเมื่อสถานการณ์การระบาดเริ่มดีขึ้นจึงทำให้ประเทศต่างๆ ก้าวเข้าสู่การเปิดประเทศอีกครั้งหนึ่ง รวมทั้งประเทศไทยด้วย
ในส่วนของประเทศไทยนั้น ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ที่มีกระทรวงสาธารณสุขเป็นมือไม้ที่สำคัญในการดำเนินการตามนโยบาย ได้เริ่มเกริ่นถึงการที่จะปรับเปลี่ยนสถานะของโรคระบาดร้ายแรงโควิด-19 ตามประกาศขององค์การอนามัยโลก มาเป็นโรคประจำถิ่นในช่วงระยะเวลาหนึ่งแล้ว และหลังจากติดตามสถานการณ์การระบาดอย่างใกล้ชิด จากการศึกษาสถิติตัวเลขของผู้ติดเชื้อรายใหม่ในแต่ละวัน ความรุนแรงของโรค จำนวนผู้ที่เจ็บป่วยรุนแรง และผู้ที่เสียชีวิต ซึ่งพบว่ามีแนวโน้มที่ลดลงในทุกส่วน โดยมีผู้ป่วยรายใหม่ในแต่ละวัน ณ ขณะนี้ ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 5,000 ราย และบางวันก็ลดลงต่ำสู่ระดับ 4,000 ราย ตลอดจนจำนวนผู้เสียชีวิตที่เริ่มลดน้อยลงต่ำกว่าระดับ 40 รายต่อวัน เมื่อนำมาประกอบกับ จำนวนตัวเลขของประชาชนที่ได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนรวมทั้งสิ้นมากกว่า 136 ล้านครั้ง โดยมีผู้ฉีดเข็มที่ 1 ไปแล้วมากกว่า 56 ล้านราย คิดเป็น 81 เปอร์เซ็นต์เศษ ของผู้ที่ควรได้รับการฉีดวัคซีน ฉีดเข็ม 2 ไปแล้วมากกว่า 52 ล้านราย คิดเป็น 75 เปอร์เซ็นต์ และฉีดเข็ม 3 ไปแล้วมากกว่า 27 ล้านราย หรือประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ และยังรวมไปถึงพฤติกรรมของประชาชน ที่อยู่ในระเบียบวินัยเป็นอันดี ในการดำเนินชีวิตตามแนวชีวิตวิถีใหม่ทั้งการสวมหน้ากากอนามัย การรักษาระยะห่างระหว่างบุคคล และการล้างมืออย่างต่อเนื่อง ซึ่งทุกเรื่องที่กล่าวมานี้ล้วนมีส่วนเสริมทำให้การระบาดของโรคลดน้อยลงอย่างชัดเจนตามลำดับ ตลอดจนความรุนแรงของอาการก็อยู่ในเกณฑ์เดียวกับโรคประจำถิ่น จึงทำให้ศบค.พร้อมที่จะประกาศว่าโรคนี้เป็นโรคประจำถิ่นของประเทศไทยแล้ว ซึ่งอาจจะเร็วกว่าที่เคยกำหนดไว้ คือวันที่ 1 กรกฎาคม นี้มาเป็นประมาณวันที่ 15 มิถุนายน เป็นต้นไป
ขณะนี้จึงมีมาตรการหลายอย่างในลักษณะผ่อนคลายถูกนำออกมาใช้ เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนผ่านโรคนี้ให้เป็นโรคประจำถิ่น ซึ่งจะขอแยกออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ คือ 1.มาตรการที่เกี่ยวกับการป้องกันและรักษาพยาบาล ซึ่งนอกจากกระทรวงสาธารณสุขแล้ว ก็มีหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องที่สำคัญอีกอย่างน้อย 4-5 หน่วยงาน คือสํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สํานักงานประกันสังคมและกรมบัญชีกลาง องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น ทั้งนี้ ต้องรวมถึงสมาคมโรงพยาบาลเอกชน ซึ่งเป็นตัวกลางในการประสานงานความร่วมมือของโรงพยาบาลเอกชนเกือบทั่วประเทศด้วย 2.มาตรการที่เกี่ยวกับการกำกับดูแล ให้เกิดการขับเคลื่อนทางธุรกิจ และสร้างเศรษฐกิจของประเทศให้กลับคืน ซึ่งในส่วนนี้ประกอบด้วยหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐและภาคธุรกิจเอกชนต่างๆ เข้ามามีบทบาทร่วมกัน
ในส่วนของมาตรการเกี่ยวกับการป้องกันและรักษาพยาบาลนั้น ภาครัฐมีส่วนสำคัญที่สุดในการจัดหาวัคซีนหลากหลายรูปแบบที่มีประสิทธิภาพ มาฉีดให้กับประชาชนทุกกลุ่ม ซึ่งได้ดำเนินการมาแล้วอย่างดี และสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนได้แล้ว และหากมีการเจ็บป่วยเกิดขึ้นองค์กรของภาครัฐตามที่กล่าวไว้นั้น รวมทั้งส่วนของโรงพยาบาลเอกชน ก็ได้ให้ความร่วมมือในการดูแลรักษาผู้ป่วยเป็นอย่างดี แต่เมื่อถึงระยะเวลาที่จะมีการประกาศให้โรคนี้เป็นโรคประจำถิ่น รูปแบบของการรักษาจะเปลี่ยนไป โดยจะเน้นให้ประชาชนที่ติดเชื้อ แต่ไม่มีอาการหรือมีอาการเพียงเล็กน้อย เข้าสู่การรักษาในรูปแบบของผู้ป่วยนอก โดยเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลตามสิทธิ์พื้นฐาน การตรวจคัดกรองเชิงรุกด้วยชุดตัว ATK จะถูกยกเลิก รวมทั้งการตรวจ RT-PCR จะถูกนำมาใช้ ในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงเพื่อยืนยันโรค หรือตรวจหาไวรัสที่กลายพันธุ์เท่านั้น ส่วนกรณีที่ผู้ติดเชื้อมีอาการรุนแรง ก็เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลตามสิทธิ์เช่นกัน เว้นเสียแต่ว่าอาการเข้าขั้นฉุกเฉินวิกฤต อาจจะเข้ารักษาในโรงพยาบาลใดก็ได้ โดยโรงพยาบาลที่รักษาสามารถเบิกค่าใช้จ่ายได้จากกองทุน UCEP ซึ่งมีอยู่เดิมแล้ว
ในส่วนของมาตรการกำกับดูแลให้เกิดการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจนั้น จะได้มีการเปลี่ยนการกำหนดสีของพื้นที่ใหม่ โดยตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน จะมีจังหวัดสีฟ้ารวม17 จังหวัด ซึ่งเป็นพื้นที่นำร่องท่องเที่ยว มีจังหวัดสีเขียวซึ่งถือเป็นพื้นที่เฝ้าระวัง 14 จังหวัด และที่เหลืออีก46 จังหวัด จะเป็นจังหวัดสีเหลือง ซึ่งยังเป็นพื้นที่เฝ้าระวังสูง แต่ก็ได้ผ่อนคลายให้พื้นที่ทุกสี สามารถจะเปิดให้บริการสถานบันเทิง ประเภทผับและบาร์ได้แล้ว แต่ยังมีมาตรการในการควบคุมผู้ใช้บริการและผู้ให้บริการ เพื่อให้เกิดความปลอดภัย เพื่อไม่ให้มีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสนี้เกิดขึ้นอีก
ซึ่งในส่วนของการท่องเที่ยวนั้น จะมีการเปิดประเทศมากขึ้นกว่าเดิม โดยผู้เดินทางจากต่างประเทศ เฉพาะที่เป็นชาวต่างชาติเท่านั้น จะต้องมีการขอรับเอกสารไทยแลนด์พาสซึ่งสามารถจะทำได้ง่ายๆ โดยสแกน QR Code ได้เลยเพียงแต่ ยังต้องแสดงหลักฐานการฉีดวัคซีนครบเกณฑ์มาตรฐาน และ/หรือการตรวจ RT-PCR ก่อนเดินทางเข้าและมีวงเงินประกันสุขภาพ 10,000 ดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น ซึ่งเชื่อว่ามาตรการนี้จะทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศกลับมาสู่ประเทศไทยอย่างรวดเร็ว อันจะเป็นการสร้างรายได้จำนวนมหาศาล ซึ่งจะเป็นผลดีกับทุกภาคส่วนธุรกิจที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งผู้มีอาชีพที่โยงใยไปถึงการท่องเที่ยวทั้งหมด
ขณะนี้กระทรวงศึกษาธิการได้อนุมัติให้โรงเรียนทั่วประเทศ สามารถเปิดให้มีการเรียนการสอนตามปกติได้แล้ว และส่วนใหญ่ของโรงเรียนก็ได้ดำเนินการเรื่องนี้แล้ว แต่เพื่อเป็นการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคนี้กลับคืนมา ก็ได้มีมาตรการ ที่นักเรียนทุกคนต้องปฏิบัติตามแนวทางที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนด ภายใต้ความรับผิดชอบในการตรวจสอบของทุกโรงเรียน ทั้งในเรื่องของการให้นักเรียนได้รับการฉีดวัคซีนตามเกณฑ์ การใส่หน้ากากอนามัย การจัดการเรื่องระยะห่างการติดตามสังเกตอาการผิดปกติที่อาจจะเกิดขึ้น การจัดกิจกรรมในโรงเรียนอย่างเหมาะสม รวมทั้งอาจจะมีการตรวจคัดกรองเป็นระยะด้วย ซึ่งจากข้อมูลที่มีอยู่ในขณะนี้พบว่า เด็กนักเรียนในช่วงอายุ 12-17 ปี ได้รับการฉีดวัคซีนครบตามเกณฑ์ 2 เข็มแล้ว มากกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ และเด็กช่วงอายุ 5-11 ปี ซึ่งเพิ่งได้รับการอนุญาตให้ฉีดวัคซีนได้ ก็ได้รับการฉีดวัคซีนไปแล้วอย่างน้อย 1 เข็ม มากกว่า 53 เปอร์เซ็นต์ และในระยะเวลาไม่นานจากนี้ ก็จะได้รับการฉีดวัคซีนครบตามเกณฑ์ 2 เข็ม มากกว่า 80% ซึ่งจะทำให้ป้องกันการเกิดอาการรุนแรง หากมีการติดเชื้อได้อย่างแน่นอน
เมื่อ 2 วันที่ผ่านมานี้ เป็นครั้งแรกที่จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ในแต่ละวันในกรุงเทพมหานคร ลดต่ำลงกว่า 2,000 ราย ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดี เพราะเป็นจังหวัดที่มีประชากรมากที่สุดกว่าจังหวัดอื่นใด ส่วนจังหวัดอื่นๆ นั้น ไม่พบว่ามีจังหวัดใดที่มีจำนวนผู้ป่วยรายใหม่ในแต่ละวันเกินกว่า 200 รายแล้ว ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก และหากตัวเลขเหล่านี้ยังดีขึ้นอย่างต่อเนื่องไปอีกระยะหนึ่ง ก็เชื่อว่าการประกาศอย่างเป็นทางการของประเทศไทยที่จะบอกว่าโรคโควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่น น่าจะเป็นจริงไม่เกินวันที่ 15 มิถุนายน นี้
การประกาศ ผลการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร อย่างเป็นทางการ คงจะเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อคืนที่ผ่านมาหรืออย่างช้าที่สุดก็ภายในวันนี้อย่างแน่นอน ไม่ว่า จะได้ใครมาเป็นผู้ว่าคนใหม่ ประชาชนก็ต้องยอมรับ และก็คงเป็นหน้าที่ของประชาชนเช่นกัน ในการติดตามการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ว่าคนใหม่ ให้เป็นไปตามครรลองครองธรรมที่ควรจะเป็น ซึ่งไม่ใช่เป็นเรื่องที่จะทำให้ประชาชนกินดีอยู่ดีตามที่มีบางคนหาเสียงไว้ เพราะน่าจะเป็นเรื่องนอกเหนือหน้าที่ แต่สิ่งที่จะต้องทำนั้นคือ ทำอย่างไร ให้กรุงเทพมหานคร เป็นเมืองที่ผู้อยู่อาศัยอยู่อย่างมีความสุข ทั้งในเรื่องของสภาพแวดล้อม ความสะอาดสวยงาม ระบบขนส่งมวลชนที่สะดวกปลอดภัย และระบบสาธารณูปโภคที่มีความสมบูรณ์พร้อม ทำได้เท่านี้ก็ถือว่าดีแล้วครับ หนทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน
นายแพทย์ปิยะ เนตรวิเชียร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี