“รัฐบาลหนูชั่วคราว”ของนายกฯอนุทิน ชาญวีรกูล เพิ่งเริ่มทำงานนับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมเมื่อต้นเดือน หลังแถลงนโยบายต่อรัฐสภาเสร็จสิ้น นับถึงวันนี้ 20 ตุลาคม ก็เพิ่งจะ 20 วัน แต่ใจของคนไทยจำนวนหนึ่งที่เร็วกว่าการเดินทางของแสงจากดวงอาทิตย์ คาดคั้นจะเอาให้ได้ดั่งใจไปทุกเรื่อง
2 เรื่องใหญ่ที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล เหมือน“รับเผือกร้อน”มาจัดตั้งรัฐบาลและเป็นนายกรัฐมนตรีเพื่อสางปัญหาที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยถ่ายของเสียทิ้งเรี่ยราดไว้นั้น ก็คือเรื่องเศรษฐกิจ และเรื่องกัมพูชา
เรื่องเศรษฐกิจไม่น่าเป็นห่วง เพราะนายอนุทินชาญวีรกูล ได้มืออาชีพที่ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลังเรื่องการเมือง โดยเฉพาะผลประโยชน์ทับซ้อนของนายทุนพรรคการเมืองที่ตนเองสังกัด เนื่องจากรัฐมนตรีทางด้านเศรษฐกิจที่มาร่วมงานกับนายอนุทิน ต่างก็มีความเป็นอิสระและไม่ใช่นักการเมือง
ชัดเจนที่สุดถือว่าเป็นกองหน้าของรัฐบาลชุดนี้ คือ ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และนางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่เพียงแค่ 20 วันทำประตูให้เห็นแล้ว
ไม่เหมือนกับนักฟุตบอลของสโมสรในอังกฤษบางทีม ที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนใหม่ เปรียบเปรยในวันที่กล่าวต่อที่ประชุมพรรคหลังได้รับเลือกตั้งเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เมื่อวันที่ 18 ตุลาคมที่ผ่านมาเกี่ยวกับบางพรรคการเมืองที่มีการ“ดูดสส.”เข้าไปสังกัดเพื่อการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในต้นปีหน้าว่า “พรรคการเมืองที่พยายามดูด สส.ด้วยอำนาจเงินหรืออำนาจรัฐ ระวังนะครับ ศูนย์หน้าฟอร์มดี ค่าตัวแพงที่สุด ย้ายสโมสรไปแล้ว แต่ยิงไม่ได้สักประตูครับ”
อย่างกระทรวงการคลัง ทันทีที่ ดร.เอกนิตินิติทัณฑ์ประภาศ ซึ่งเป็นลูกหม้อของกระทรวงการคลังไม่ต้องมานั่งเรียนรู้งานศึกษางานให้เสียเวลา ประกอบกับผ่านการเป็นอธิบดีกรมหลักๆ ในกระทรวงการคลังมาก่อนแล้วชัดเจนที่สุดก็คือโครงการ “คนละครึ่งพลัส” เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น ช่วยลดค่าครองชีพและกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศให้แก่ประชาชน โดยที่จะใช้เงินกันจริงๆ ก็ระหว่างวันที่ 29 ตุลาคม-31 ธันวาคมปีนี้ จะทำให้มีเงินสะพัดในตลาดประมาณกว่า 8.8 หมื่นล้านบาท คือคนละครึ่งจากเงินงบประมาณของรัฐบาล และจากงบใช้จ่ายของจากประชาชน
ประตูแรกโดยกระทรวงการคลังยิงให้เห็นอย่างจะจะ ไปแล้วเมื่อเทียบกับรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ที่ล้างผลาญไป 1.85 แสนล้านบาทในโครงการ“ตกเขียว”แจกเงิน“ดิจิทัล 1 หมื่นบาท” ไม่มีอะไรเกิดขึ้น มีแต่รัฐสูญเสียเงินงบประมาณแผ่นดิน เพื่อผลประโยชน์ทับซ้อนในการหาคะแนนนิยมของพรรคเพื่อไทย เรียกว่าชาติบ้านเมือง“ฉิบหายขายตัว”ไปเรียบร้อยแล้ว
ขณะเดียวกัน ตัวนักการเมืองทั้ง สส.และ สว.เกือบทั้งรัฐสภา ก็กำลังจะพบกับชะตากรรมอันน่าสยดสยอง คือต้องพ้นจากหน้าที่และถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง รวมทั้งต้องถูกดำเนินคดีทางอาญา จากโครงการ“แจกเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท”นี้อีกด้วย
ฐานเข้าข่ายความผิดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 144 และ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.2561 มาตรา 28 จากการที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทย ทั้ง“เศรษฐา ทวีสิน” และ“แพทองธาร
ชินวัตร”โยกเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 จำนวน 3.5 หมื่นล้านบาท เพื่อสำหรับใช้ชำระหนี้เงินกู้, ดอกเบี้ย และเงินที่กำหนดให้จ่าย มาลดแลกแจกแถมในโครงการนี้ ซึ่งความจริงแล้วคดีนี้ที่อยู่ในการพิจารณาของ ป.ป.ช. ควรจะดำเนินการเสร็จสิ้นตามกระบวนการส่งฟ้องไปตั้งนานแล้ว
อีกคนหนึ่งก็คือ นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เรียกว่า“ยิงประตู”ได้สวยงามตั้งแต่วันที่แถลงนโยบายต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 29 กันยายนเดือนที่แล้ว สามารถแจกแจงแผนงานของกระทรวงพาณิชย์ได้อย่างละเอียดชัดเจน ทั้งระยะสั้นและระยะยาว ภายใต้กรอบเวลาอันจำกัดแต่ 4 เดือนของ“รัฐบาลหนูชั่วคราว” ต่างจากกระทรวงพาณิชย์ของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยทั้งนายภูมิธรรม เวชยชัย และนายพิชัย นริพทะพันธุ์ ที่นอกจากจะไม่มีผลงานแล้ว ภาพที่ติดหูติดตาคนไทยก็คือนายภูมิธรรม“กินข้าวเน่าฟอกขาว”ให้“ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” กับแนวคิดของนายพิชัยที่ให้เกษตรกร“ปลูกกล้วยแทนข้าว” เพื่อสร้างรายได้ในช่วงที่ราคาข้าวตกต่ำ
ยกมาให้ดูประกอบข้อมูลหลังจากที่นางศุภจี สุธรรมพันธุ์โชว์ฟอร์มสวยงามจากการทำประตูในวันที่แถลงนโยบาย“Quick Big Win ลดค่าครองชีพ – เร่งส่งออกเชิงรุก” จนนั่งอึ้งกันทั้งสภาฯ โดยเฉพาะ สส.พรรคประชาชนที่เป็นฝ่ายค้าน
และเมื่อเข้าปฏิบัติหน้าที่หลังจากแถลงนโนบายเสร็จสิ้น ปรากฏว่า 20 วันของนางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ยิ่งเปรียบเทียบเห็นได้ชัดว่า 2 ปีของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย นอกจากประเทศชาติจะเสียเวลาไปโดยเปล่าเปลืองก็ยังสร้างปัญหาเพิ่มขึ้นมาอีก นั่นก็คือ ซึ่งน่าจะพูดถึงได้ก็เช่นว่า โครงการ“ธงเขียวราคาประหยัด ปุ๋ยถูก ราคาดี ต้องธงเขียว” มีเป้าหมายเพื่อช่วยเกษตรกร, “พลิกไอเดียสู่รายได้ สร้างยอดขายด้วยคอนเทนต์” มีเป้าหมายช่วยผู้ประกอบการ SME และผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา และโครงการ“ร้านยา สุขกาย สบายกระเป๋า”ที่ผู้ป่วยสามารถเลือกซื้อยาจากร้านยาภายนอกโรงพยาบาลเอกชนได้ เพื่อลดภาระค่ายาของประชาชน เป็นต้น
ถ้าจะว่าไปแล้ว เวลานี้ภาระหนักก็อยู่ที่กัปตันทีม คือนายอนุทิน ชาญวีรกูล ที่ยืนอยู่ในตำแหน่งศูนย์หน้า จะได้ชัยหรือพ่ายแพ้ก็อยู่ที่ปัญหา“ไทย-กัมพูชา”ที่มีเดิมพันสูงมาก ที่จะต้องแก้ไขให้ได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ใน 4 ข้อที่ฝ่ายไทยได้ยื่นให้กัมพูชาตอบ คือ การถอนอาวุธหนัก, การเก็บกู้ทุ่นระเบิด,การปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ หรือ“สแกมเมอร์” และการบริหารจัดการชายแดนร่วมกัน
โดยเฉพาะเรื่อง“สแกมเมอร์”อันเป็นปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งกัมพูชากำลังโดนรุมกินโต๊ะจากประเทศสหรัฐอเมริกา อังกฤษ และเกาหลีใต้ ขณะที่ไทยก็กำลังเผชิญกับข่าวลวง“fake new”ในโลกโซเชียล
ล่าสุดก็มีข่าวปล่อยเกี่ยวกับ“เกาหลีใต้จะเปิด 7 รายชื่อนักการเมืองไทย”ที่มีเอี่ยวกับแก๊งสแกมเมอร์เขมร ซึ่งข่าวถูกปล่อยกันเป็นทอดๆ แต่ก็อย่างว่า แม้จะมีการปฏิเสธข่าวก็ตาม “ถ้าไม่มีไฟ ที่ไหนจะมีควัน” จึงทำให้ผู้คนในสังคมตั้งคำถามว่า นายกฯอนุทิน ชาญวีรกูล “จะกวาดล้างชั่วโมงไหน” กับพวกสแกมเมอร์ ทุนเทา แก๊งฟอกเงิน และคอลเซ็นเตอร์ ที่มีรังใหญ่เป็นฐานปฏิบัติการอยู่ในกัมพูชา
ทั้งนี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล ได้ตอบคำถามผู้สื่อข่าวเมื่อวันที่ 19 ตุลาคมเมื่อวานี้ว่า “ได้ให้กระทรวงการต่างประเทศและทีมงานไปสืบหาข้อเท็จจริงแล้ว แต่ไม่ต้องกังวลอะไรจะมีรายชื่อหรืออะไรมา เราก็ต้องดำเนินการตรวจสอบ และหากมีหลักฐานการกระทำที่ผิดกฎหมาย เราก็ต้องดำเนินคดีอยู่แล้ว ไม่มีข้อยกเว้น”
นายอนุทิน ชาญวีรกูล จะได้รับเสียงเชียร์ และได้ไปต่อบนเก้าอี้นายกรัฐมนตรีในอีก 4 ปีข้างหน้าหรือไม่ ก็อยู่ที่การทำประตูชัย“ลูกนี้” คือการแก้ไขปัญหา“ไทย-กัมพูชา” โดยเฉพาะประเด็นเฉพาะหน้านี้ “7 นักการเมืองไทย”เป็นใครบ้างจะต้องตรวจสอบอย่างจริงจังตามที่ให้สัมภาษณ์ และก็ทำให้ปรากฏ
มีก็ต้องบอกว่ามี-ถ้าไม่มีก็จบ!
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี