...การสู้รบตบมือกับเขมรสันดานอสรพิษอย่าง“ฮุน เซน”นั้น..ต้องสุขุมรอบคอบ..เราเป็นประเทศที่ใหญ่กว่า..ขืนผลีผลามทำอะไรลงไปตามเสียงเชียร์ของ“ไทยมุง”..เราก็จะเสียเปรียบ..ไม่พ้นที่จะถูกกล่าวหาว่ารังแกประเทศเล็กที่เป็นเพื่อนบ้านได้
...ด้วยเหตุนี้..การสู้กับอรสพิษอย่าง“ฮุน เซน”จึงต้องระวังเป็นพิเศ..เปรียบเหมือนเรามีปัญหากับเด็กเกเรข้างบ้านที่มาหาเรื่องกับเราก่อน..ซึ่งยังไม่ทันอะไร..มันเอามือเขกกะโหลกตัวเองแล้วก็ตะโกนร้องว่า“เรารังแกมัน”
...ทุกวันนี้กัมพูชาก็เป็นอย่างนั้น..เอะอะอะไรก็ส่งเสียงร้อง..ชี้หน้าใส่ร้ายป้ายสีไทย..แล้วฟ้องประชาคมโลก..ทั้งที่กัมพูชาก่อสงครามรุกรานไทย..อันเนื่องมาจากผลประโยชน์ทับซ้อนที่ไม่ลงตัว..ระหว่าง 2 ตระกูลไทยกับกับเขมร..คือ“ตระกูลชิน” กับ “ตระกูลฮุน”
...ด้วยเดชะบุญของประเทศไทย..ที่รัฐบาลพรรคไทยรักไทยภายใต้การครอบงำของนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร..ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีที่อ่อนหัดและไร้สติปัญญาชื่อ“แพทองธาร ชินวัตร”เป็นผู้นำ..มีอันต้องพ้นจากอำนาจ..เพราะพลาดท่าเสียทีให้กับ“ฮุน เซน”ทรราชของเขมรจากกรณี“คลิปอัปยศ”..จึงทำให้ประเทศไทยเริ่มมีเสียงในเวทีโลก..เพื่อรักษาเกียรติภูมิและศักดิ์ศรีของประเทศ
...ในทางการทูตนั้น..“รัฐบาลหนูชั่วคราว”ที่มีนายอนุทิน ชาญวีรกูล..เป็นนายกรัฐมนตรี..ไม่เห็นจะต้องมีนโยบายหรือวิธีการอะไรที่วิเศษพิสดาร..เพียงแค่ทำในเรื่องที่กระทรวงการต่างประเทศควรทำ..ด้วยการพูดจากข้อเท็จจริงที่มีหลักฐานเป็นประจักษ์พยานให้นานาอารยะประเทศรับรู้..นั่นก็ถือว่าเพียงพอแล้ว..สำหรับการพิทักษ์ปกป้องอธิปไตยและรักษาเกียรติภูมิของชาติบ้านเมืองเรา
...เรื่องอย่างนี้“แพทองธาร ชินวัตร”ทำไม่ได้..นอกจากจะไร้สติปัญญาและขาดภาวะผู้นำ..ก็ยังมีผลประโยชน์ทับซ้อนอันคลุมเครือระหว่าง 2 ตระกูลไทยกับเขมร..ตามข้อกล่าวหาของ 36 สว. ที่ทำให้“แพทองธาร”ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี..คือ..“เพราะเหตุแห่งความสัมพันธ์ส่วนตัวในลักษณะเป็นฝั่งเดียวกันกับกัมพูชา”
...และประเด็นนี้ศาลรัฐธรรมนูญก็ได้มีคำวินิจฉัย..สั่งให้“แพทองธาร ชินวัตร”พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2568 ว่า..พฤติการณ์และการกระทำของ“แพทองธาร”จากการเจรจาทางโทรศัพท์กับ“ฮุน เซน”..เนื่องเพราะ“ไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญ..ด้วยเหตุว่าผู้ถูกร้อง (แพทองธาร)รู้จักกับสมเด็จฮุน เซน..เป็นการส่วนตัว..และกระทำการเอื้อประโยชน์กับกัมพูชา”
...นอกจากตัวผู้นำรัฐบาล..คือ“แพทองธาร ชินวัตร” ที่ทั้งอ่อนด้อยสติปัญญาและมีผลประโยชน์ทับซ้อนเกี่ยวกับความสัมพันธ์ส่วนตัวแล้ว..รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศที่ชื่อ“มาริษ เสงี่ยมพงษ์”..ก็เป็นเพียงแค่“เสมียนท้ายแถว”..ที่ต้องรอรับคำสั่งจาก“นายใหญ่”แห่งบ้านจันทร์ส่องหล้า..จึงทำให้ไทยตกเป็นฝ่ายตั้งรับกัมพูชาในเวทีโลกมาตั้งแต่เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2568..ที่กัมพูชาเปิดฉากก่อสงครามรุกรานไทย
...จะเห็นได้ว่า..แค่นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว..รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนใหม่ของไทย..ลุกขึ้นมาชี้แจงข้อเท็จจริงตอบโต้กัมพูชา..กลางที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ..ครั้งที่ 80..ณ สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ..นครนิวยอร์ก..ประเทศสหรัฐอเมริกา..เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2568..ก็ทำให้ไทยมีแต้มต่อเหนือกัมพูชาขึ้นมาทันที
...จากถ้อยแถลงของนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว..กลางที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติที่ว่า..“เป็นที่น่าเสียใจว่า..กัมพูชายังคงสร้างภาพให้ตนเป็นผู้ถูกกระทำ..กัมพูชาได้ให้ข้อเท็จจริงในแบบฉบับของตน..ที่ไม่สามารถยืนยันได้เมื่อถูกตรวจสอบครั้งแล้วครั้งเล่า..ซึ่งก็เป็นเพราะว่า สิ่งที่กล่าวเป็นการบิดเบือนความจริง”
...และล่าสุดเมื่อวันที่ 8 ตุลาคมที่ผ่านมา..ก็เป็นอีกหนึ่งปรากฏการณ์..ที่ทำให้กัมพูชา“แพ้ทาง”ทางด้านการทูตในเวทีโลก..เมื่อนางสาวปรารถนา ดิษยทัต..อัครราชทูต..รองผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ..ณ นครเจนีวา..สวิตเซอร์แลนด์..ได้มีถ้อยแถลงกลางเวทีการประชุมคณะกรรมการบริหารของสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR ExCom) สมัยที่ 76
...เรียกว่าตัดจบครบทุกประเด็น..โดยเฉพาะกรณีบ้านหนองจาน..และบ้านหนองหญ้าแก้ว จังหวัดสระแก้ว..ที่กำลังเป็นปัญหาอยู่ในเวลานี้..ซึ่งอัครราชทูต..รองผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ..กล่าวเปิดประเด็นว่า..“ด้วยความเสียใจอย่างยิ่งที่ประเทศไทยจำเป็นต้องขอใช้สิทธิ์ในการพูด..เพื่อตอบต่อถ้อยแถลงของเพื่อนร่วมภูมิภาคจากกัมพูชา..เวทีพหุภาคีเช่นนี้ไม่ควรถูกใช้เพื่อเผยแพร่ข้อมูลเท็จ..และข้อกล่าวหาที่ปราศจากมูล..เพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง”
...ทั้งนี้..อัครราชทูต..รองผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ..ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงต่อที่ประชุมแห่งนี้ว่า..บ้านหนองจานและบ้านหนองหญ้าแก้ว..เป็นหมู่บ้านที่ฝ่ายกัมพูชาอ้างถึงนั้น..ตั้งอยู่ในดินแดนไทย..และเกิดขึ้นจากการที่ไทย “เปิดพรมแดนด้วยมนุษยธรรม”..ตั้งแต่ปลายทศวรรษ 1970 (พ.ศ. 2513)..เพื่อให้ผู้ลี้ภัยกัมพูชาหลายแสนคนหลบหนีสงครามกลางเมืองเข้ามาพักพิง..ภายใต้การดูแลของสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR)..ซึ่งต่อมาหลังสงครามสิ้นสุดลง..ได้มีชาวกัมพูชาบางส่วนรุกล้ำกลับเข้ามาอยู่อาศัยโดยไม่ได้รับอนุญาต
...อย่างไรก็ตาม..ดังที่กล่าวไว้ในตอนต้นว่า..การสู้รบตบมือกับเขมรสันดานอสรพิษอย่าง“ฮุน เซน”นั้น..ต้องสุขุมรอบคอบ..เพราะฉะนั้น..กรณีบ้านหนองจานและบ้านหนองหญ้าแก้ว..ที่ฝ่ายกองทัพกำลังดำเนิน“ยุทธวิธี”อยู่ในเวลานี้นั้น..“ไทยมุง”ทั้งหลายอย่าเพิ่งใจร้อน
...โดยเมื่อวันที่ 12 ตุลาคมเมื่อวานนี้..ในพื้นที่ 4 อำเภอของจังหวัดสระแก้ว..ได้แก่..ตาพระยา, โคกสูง, วัฒนานคร..และคลองหาด..หน่วยงานทุกภาคส่วน..ทั้งฝ่ายทหาร, ฝ่ายปกครอง, ตำรวจ, อปพร., ผู้นำชุมชน, หน่วยกู้ภัย..และอาสาสมัคร..ก็ได้มีการซ้อมแผนอพยพประชาชนไปยังศูนย์พักพิงชั่วคราว..ซึ่งเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
...จากนี้ไปก็ต้องอดใจรอดู“วัน ว.เวลา น.”ของ“วันดีเดย์”..ในการยกพลยึด“บ้านหนองจาน-บ้านหนองหญ้าแก้ว”กลับคืนมาจากกัมพูชา!
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี