“โกวเล้ง”เคยกล่าวไว้ในตัวละครนิยายกำลังภายในว่า “เรื่องราวในโลกล้วนมีผลลงเอย แม้แต่ในเรื่องที่ไม่มีผลลงเอย แท้ที่จริงก็คือผลลงเอยชนิดหนึ่ง”
แต่สำหรับคดีนี้มีผลลงเอยให้เห็น โดยเมื่อวันที่ 7 ตุลาคมเมื่อวานนี้ ศาลชั้นต้นได้พิพากษาตัดสินจำเลย 13 คน จากคดีเหตุการณ์ทางการเมืองเมื่อ 16 ปีที่แล้ว โดยมวลชนคนเสื้อแดงในนามกลุ่ม “นปช.”หรือ“แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ” ได้ลุกขึ้นมาขับไล่รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ระหว่างวันที่ 31 มกราคม - 9 เมษายน 2552
จำเลย 13 คน ประกอบด้วย นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์, นายจตุพร พรหมพันธุ์,นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ, นพ.เหวง โตจิราการ, นายสิระ หรือสรวิชญ์ พิมพ์กลาง,นายณรงศักดิ์ มณี, นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท, นายพิพัฒน์ชัย ไพบูลย์, นายพายัพปั้นเกตุ, นายพงศ์พิเชษฐ์ หรือพิเชษฐ์ สุขจินดาทอง, นายอดิศร เพียงเกษ, นายพีระพริ้งกลาง และนายเมธี อมรวุฒิกุล
แต่ศาลชั้นต้นได้พิพากษาสั่งจำคุกจำเลยเพียง 5 คน ซึ่งเป็นระดับแกนนำในการชุมนุม คนละ 4 ปี 4เดือน ไม่รอลงอาญา คือ นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ จำเลยที่ 1 อดีตประธาน นปช.,นายจตุพร พรหมพันธุ์ จำเลยที่ 2 อดีตประธาน นปช., นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ จำเลยที่ 3ปัจจุบันยังอยู่กับพรรคเพื่อไทย และรับใช้“นายใหญ่-น.ช.ทักษิณ ชินวัตร”, นพ.เหวงโตจิราการ จำเลยที่ 4 ซึ่งตีจากพรรคเพื่อไทยแล้ว..นายอดิศร เพียงเกษ จำเลยที่10..ปัจจุบันเป็น สส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย
ส่วนจำเลยอีก 8 คน แยกตามนี้ โดย 5 คน คือ นายสิระ หรือสรวิชญ์ พิมพ์กลางแกนน้ำคนเสื้อแดงจังหวัดสกลนคร, นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท อดีตสส.พรรคเพื่อไทย, นายพิพัฒน์ชัย ไพบูลย์ อดีต สก.เขตบางบอน พรรคเพื่อไทย,นายพายัพ ปั้นเกตุ อดีต สส.พรรคเพื่อไทย และนายเมธีอมรวุฒิกุล อดีตนักแสดงชื่อดัง ศาลฯสั่งจำคุกคนละ 4 เดือน ไม่รอลงอาญา และสั่งยกฟ้อง 2 คน คือ นายนายณรงศักดิ์ มณี กับนายพงศ์พิเชษฐ์ หรือพิเชษฐ์ สุขจินดาทอง และอีก 1 คน คือ นายพีระ พริ้งกลางเสียชีวิตไปแล้ว
คดีนี้เป็นคดีหมายเลขดำอ.968/2561 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา10 เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยทั้ง 13 คน ในความผิดฐานร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่10คนขึ้นไป สร้างความกระด้างกระเดื่องก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง, ฝ่าฝืนพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ พ.ศ.2548
จากคำบรรยายฟ้องของโจทก์ที่เป็น“สารตั้งต้น”ระบุว่า ระหว่างวันที่ 31 มกราคม -9 เมษายน 2552 จำเลยได้ร่วมกันชุมนุมขับไล่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์เวชชาชีวะ โดยปิดทางเข้า-ออกทำเนียบรัฐบาล เพื่อขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของคณะรัฐมนตรี รวมถึงมีผู้ชุมนุมบางส่วนบุกไปยังบ้านพัก พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี(ขณะนั้น) เพื่อกดดันให้ พล.อ.เปรม, พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ และนายชาญชัยลิขิตจิตถะ ลาออกจากตำแหน่งองคมนตรี รวมทั้งการปิดล้อมสถานที่ราชการสำคัญๆหลายแห่งใน กทม.
ผ่านไป 16 ปีกว่าผลลงเอยก็ปรากฏให้เห็น จำเลยทั้ง 5 คนที่ทอดตัวรับใช้นักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร ในที่สุดก็ต้องติดคุก และใน 5คนนี้มีเพียงนายจตุพร พรหมพันธุ์ คนเดียว ที่ปัจจุบันได้ถอนตัวออกมาอย่างเด็ดขาด
อย่างไรก็ตาม ไม่เพียงแต่ทาสบริวารของ“ทักษิณ ชินวัตร” ที่มีผลลงเอยดังที่กล่าวเท่านั้น ตัว“ทักษิณ”เองก็มีผลลงเอยจาก“สันดานขี้โกง” เมื่อได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯลดโทษคดีทุจริตโกงบ้านกินเมืองรวม 3 คดี จาก 8 ปี เหลือ 1ปี ก็ยัง“โกงการติดคุก” ด้วยการโกหกว่า“ป่วยวิกฤต” แล้วไปเป็นนักโทษเทวดา“ป่วยทิพย์”อยู่บนชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ จนกระทั่งได้รับการพักโทษและพ้นโทษ..ซึ่งในที่สุดเมื่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง“จับโกหก”ได้..จึงถูกบังคับโทษให้กลับไปติดคุกใหม่อีกครั้งเป็นเวลา 1 ปี
มิหนำซ้ำ เมื่อผลลงเอยออกมาเช่นนั้น ก็หาได้มีสำนึกไม่ ยังทำฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ“ซ้ำ”เป็นครั้งที่สองอย่างทันทีทันใดในวันรุ่งขึ้น หลังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สั่งบังคับโทษในวันที่ 9 กันยายน 2568 และผลลงเอยเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็คือ กระทรวงยุติธรรมซึ่งเป็นต้นสังกัดกรมราชทัณฑ์ลงความเห็น“ยกฎีกา” นั่นก็หมายความว่าถึงอย่างไร“ทักษิณ”ก็ต้องติดคุกต่อไป
สุดท้ายว่าด้วยผลลงเอยของคนที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับ“ตระกูลชินวัตร” ไม่ว่าจะเป็นใคร ก็ล้วนมีจุดจบที่ไม่สวยงามทั้งสิ้นนั้น และที่ต้องพูดถึงอีกคนก็คือ “แพทองธารชินวัตร” ทายาทผู้“สืบสันดาน”ของ“ทักษิณ ชินวัตร” ซึ่งถูกบิดาจับ“เชิด” แม้ว่าวันนี้จะมีผลลงเอยจากการถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งถอดถอนออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพราะขาดคุณสมบัติ มีความผิดฐานฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรงจากกรณี“คลิปอัปยศ” อันเป็น“มลทินทางการเมือง”ติดตัวไปจนตายก็ตาม แต่“แพทองธาร”ก็ไม่ยอมรับผลลงเอยนั้น หากแต่ยังดิ้นต่อ
ดังจะเห็นได้จาก 1 ปีของ“แพทองธาร ชินวัตร”ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และ 2ปีของรัฐบาลที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ ซึ่งได้ทำให้บ้านเมืองวิบัติฉิบหาย ทั้งด้านเศรษฐกิจ และด้านความมั่นคงของชาติ ที่ถูกกัมพูชาก่อสงครามรุกรานอธิปไตยนั้น ทั้งๆที่เห็นกันอยู่ตำตา แต่“แพทองธาร”ที่สวมหัวโขนหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และถูกผู้คนในสังคมเรียกขานว่าเป็น“ทายาทอสูร” ก็ยังไม่ยอมรับในผลลงเอยนั้น แต่กลับกล่าวโทษไปยังบุคคลอื่น
จะเห็นได้จากการกล่าวปาฐกถาของเธอเมื่อวันที่ 7 ตุลาคมเมื่อวานนี้ ในหัวข้อ“ยกเครื่องเพื่อไทย-ยกเครื่องประเทศไทย”-ดังที่ยกมาเป็นตัวอย่างสองย่อหน้าถัดจากนี้
“พรรคเพื่อไทยเองถูกกระทำไปเป็นฝ่ายต้าน ดร.ทักษิณ ผู้ก่อตั้งพรรคอยู่ในเรือนจำ โดยคดีที่ตั้งต้นโดยอำนาจรัฐประหาร การเลือกตั้งซ่อมมีทั้งชัยชนะ ที่เกิดขึ้นที่เชียงราย ความพ่ายแพ้ที่เกิดขึ้นที่ศรีสะเกษ มีคำพูด ที่เขาบอกกันว่า พรรคเพื่อไทยมาถึงทางตัน พรรคเพื่อไทยตายแน่นอน พรรคเพื่อไทยสูญพันธุ์แน่นอน ดิฉันไม่เคยเชื่ออย่างนั้นเลย ดิฉันไม่เคยคิดอย่างนั้น เพราะถ้าพรรคเพื่อไทยจะสูญพันธุ์ พรรคเพื่อไทยสูญพันธุ์ไปนานแล้ว”
“เราเป็นพรรคการเมืองที่มีผลงานเป็นรูปธรรมมากที่สุด และต้องเผชิญชะตากรรมทางการเมืองสาหัสที่สุด พรรคนี้โดนรัฐประหารมาแล้ว 2 ครั้ง ถูกยุบพรรคไปแล้ว 2 พรรค กรรมการบริหารพรรคถูกตัดสิทธิทางการเมืองเกือบ 200 คน ปลดนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งถึง 6คน โดยที่ผู้ที่ก่อรัฐประหารไม่ต้องคดี แต่ผู้ที่ก่อตั้งพรรคนี้ถูกจองจำ”
สรุปเป็นว่า แม้สุภาษิตจีนจะมีคำพังเพย“ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา” อันเป็นอุทาหรณ์เพื่อย้ำเตือนผู้คนไม่ให้กระทำผิดพลาดซ้ำ แต่ทว่า“พรรคเพื่อไทย” และคนใน“ตระกูลชินวัตร”ที่เป็นเจ้าของพรรคเพื่อไทย กลับกระทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม และไม่เคยสำนึกว่าต้นเหตุที่แท้จริง ก็เพราะความ“โลภโมโทสัน”ที่ไม่รู้จักพอของตนนั่นเอง
ขนาดว่าผู้ก่อตั้งพรรคหรือเจ้าของพรรคนี้ที่ชื่อ“ทักษิณ ชินวัตร” ยังเคยสั่งเสียกับคนในครอบครัวว่า-“ตายแล้วห้ามเผา” !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี