นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี“รัฐบาลหนูชั่วคราว” ประกาศเช้าประกาศเย็นเหมือนยันต์กันผีว่า “กฎหมายต้องเป็นกฎหมาย” นับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พร้อมทั้งยืนยันว่า ในฐานะนายกรัฐมนตรี จะไม่ใช้กฎหมายหรือกระบวนการยุติธรรมไปกลั่นแกล้งใคร
คำพูดของนายอนุทิน ชาญวีรกูล ที่คนทั่วไปจำได้ติดหูก็คือ “สิ่งที่ถูกต้องตามกฎหมายต้องเป็นไปตามกฎหมาย สิ่งที่ผิดกฎหมายต้องดำเนินการทันที”
และเมื่อย้อนไปดูคำสัมภาษณ์ของนายอนุทิน ชาญวีรกูล ที่เคยให้สัมภาษณ์ที่สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 18กันยายนเดือนที่แล้ว กรณี“คดีที่ดินเขากระโดง” ซึ่งนายอนุทินได้ตอบคำถามผู้สื่อข่าวว่า “การบริหารราชการแผ่นดินไม่ควรนำเรื่องการเมืองเข้ามาทำลายกัน และบทบาทของทุกคน คือการทำหน้าที่เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ ไม่ใช่การนำเรื่องส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวข้อง”
พร้อมกันนี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล ยังกล่าวด้วยว่า “เรื่องแบบนี้พรรคภูมิใจไทยไม่เคยทำ ผมอยู่กระทรวงมหาดไทยมา 2 ปี ก็ไม่เคยกลั่นแกล้งใคร และไม่เคยใช้อำนาจในการบริหารประเทศทำเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับการบริหารบ้านเมือง ผมไม่อยากให้การเมืองไทยเป็นแบบนี้ เพราะมันจะไม่จบไม่สิ้น จะมีแต่ความอาฆาตมาดร้ายต่อกัน และมานั่งแก้แค้นกัน ประเทศจะเดินหน้าไปอย่างไร”
เมื่อนายกรัฐมนตรีประกาศเจตนารมณ์ชัดเจนว่า “กฎหมายต้องเป็นกฎหมาย” เวลานี้มีอยู่ 2เรื่องใหญ่ที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทย ซึ่งมี“แพทองธาร ชินวัตร”เป็นนายกรัฐมนตรี ได้ทิ้งร่องรอยของความไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับการ“เลี่ยงกฎหมาย”เพื่อประโยชน์ของตน และคนใน“ตระกูลชินวัตร” โดยมีข้าราชการประจำยอมทอดตัวรับใช้ อันเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา157 ฐานเป็นเจ้าพนักงาน“ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต”
เรื่องแรก เกี่ยวกับการทำ“นิติกรรมอำพราง”ของ“แพทองธาร ชินวัตร” กรณีซื้อหุ้นจากเครือญาติโดยจ่ายค่าหุ้นเป็น“ตั๋วP/N”เพื่อเลี่ยงภาษี ซึ่งเรื่องนี่มีพิรุธ และฝ่ายค้านโดยนายวิโรจน์ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน เคยใช้ข้อมูลของ“สำนักข่าวอิศรา”มาเป็นประเด็นในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ“แพทองธาร”เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2568 ว่า“แพทองธาร”ในฐานะนายกรัฐมนตรี ได้ทำ“นิติกรรมอำพราง”เพื่อหลบเลี่ยงการเสียภาษีกว่า 218ล้านบาท
ทั้งนี้ ข้อพิรุธพบจากบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน ที่“แพทองธาร ชินวัตร”ได้ยื่นต่อป.ป.ช.ในการเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมตรี โดยชี้แจงว่ามีทรัพย์สินรวมกว่า 1.3 หมื่นล้านบาท หรือตัวเลขกลมๆ 13,993,826,903 บาท และมีหนี้สินกว่า 4.4 พันล้านบาท หรือ4,441,159,711 บาท
ข้อพิรุธที่พบว่าเป็นการทำ“นิติกรรมอำพราง”เพื่อเลี่ยงภาษี ก็คือรายการหนี้สิน เป็นหนี้สินที่ไม่ได้อยู่ในรูปแบบของสัญญาเงินกู้ แต่เป็น“ตั๋วสัญญาใช้เงิน” หรือ“ตั๋ว-PN” ซึ่งเป็นหนี้สินที่“แพทองธาร ชินวัตร”ซื้อหุ้นจากพี่สาว, พี่ชาย, ลุง, ป้าสะใภ้ และแม่ แบบ“ซื้อเชื่อ”แล้วออก“ตั๋ว-PN”แทนการจ่ายเงิน โดยตั๋วสัญญานี้ ไม่มีเงื่อนไขระบุวันครบกำหนดชำระ อันอาจเข้าข่าย“เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร” ในฐานความผิดตามประมวลกฎหมายรัษฎากร มาตรา 37 ทวิ ซึ่งต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
เมื่อตามไปดูจากบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน ที่“แพทองธาร ชินวัตร”แจ้ง ต่อ ป.ช.ป.พบว่า“แพทองธาร”ได้ทำสัญญากู้เงินจากนางสาวพินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ ซึ่งเป็นพี่สาว เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2559 ทั้งหมด 4 รายการ รวมเป็นเงิน 2,388,724,094 บาท หรือ 2.38 พันล้านบาท และนอกจากนี้ยังกู้เงินจากพี่ชายคือนายพานทองแท้ ชินวัตร เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2559 จำนวน 335,420,541 บาท หรือ 3.35 ร้อยล้านบาท
อีกทั้งยังกู้เงินคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ ผู้ป็นมารดา เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2559 เช่นกัน จำนวน136,517,701 บาท หรือ 1.36 ร้อยล้านบาท และกู้เงินนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ ผู้เป็นลุง จำนวน 2 รายการ เมื่อปี 2566 รวมจำนวนเงิน 1,315,460,000 บาท หรือ 1.3 พันล้านบาท
เสียดายที่พรรคฝ่ายค้านอย่างพรรคประชาชน ทำหน้าที่แบบ“ค้านไปรอเสียบไป” ซึ่งควรจะนำหลักฐานทั้งหมดจากการอภิปรายไว้วางใจ ไปยื่นต่อ ป.ป.ช.เพื่อเอาผิด“แพทองธารชินวัตร”ในทางคดีอาญาต่อไป เหมือนที่ฝ่ายค้านในอดีตทำกัน
เช่นคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ที่ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีตสส.พรรคประชาธิปัตย์ เคยทำให้“ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาลงโทษจำคุก 5 ปี ไม่รอลงอาญามาแล้วหลังการอภิปรายเสร็จสิ้น โดยได้ยื่นหลักฐานให้ป.ป.ช.ดำเนินคดีต่อ จนทำให้ทุกวันนี้“ยิ่งลักษณ์”ยังเป็น“สัมภเวสี”หนีโทษอยู่ในอังกฤษ ทั้งนี้ พรรคประชาชนได้เลี่ยงไปยื่นเรื่องกับกรมสรรพากรให้ดำเนินการ
สุดท้าย กรมสรรพากรซึ่งอยู่ใต้สังกัดรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังที่ชื่อ“พิชัย ชุณหวชิร” สายตรงของ“บ้านจันทร์ส่องหล้า” อีกทั้งอธิบดียังชื่อว่า“ปิ่นสายสุรัสวดี” เป็นบุตรชายของนายปลอดประสพสุรัสวดี นักการเมืองในคอกเพื่อไทย เรื่องก็เลยยืดเยื้อถูกลากยาวมาเรื่อย จนวันนี้ซึ่งเมื่อวันที่ 7 ตุลาคมเมื่อวานนี้เอง นายปิ่นสายเพิ่งจะถูกย้ายออกจากตำแหน่งอธิบดีกรมสรรพากรไปเป็นรองปลัดกระทรวงการคลัง โดย“รัฐบาลหนูชั่วคราว”
ดังนั้น เมื่อนายอนุทิน ชาญวีรกูล ประกาศว่า “กฎหมายต้องเป็นกฎหมาย”ก็ควรจะต้องเร่งสะสางเรื่องนี้ เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่“การกลั่นแกล้ง” แต่เป็นการพิทักษ์ปกป้องผลประโยชน์ของชาติบ้านเมือง
และนอกจากเรื่อง“ตั๋ว-PN”ดังกล่าว “แพทองธาร ชินวัตร”ก็ยังมีเรื่องเกี่ยวกับการโอนหุ้น 19 บริษัท มูลค่ากว่า 9 พันล้านบาท โดยเฉพาะการโอนหุ้น 2 บริษัท มูลค่ารวม 393.5 ล้านบาท ให้แก่สมาชิกในครอบครัว คือ บริษัท“อัลไพน์ กอล์ฟ แอนด์ สปอร์ตคลับ จำกัด” มูลค่า 224.1ล้านบาท โอนให้“คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์”ผู้เป็นมารดา เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2567 และบริษัท“ประไหมสุหรี พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด” มูลค่า 169.4 ล้านบาท โอนให้“พินทองทา ชินวัตรคุณากรวงศ์”ผู้เป็นพี่สาว เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2567
ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว อีกเรื่องหนึ่งนอกเหนือจากเรื่องของ“แพทองธาร ชินวัตร” ก็ยังมีเรื่องของ“ยิ่งลักษณ์ชินวัตร”ผู้เป็นอา ที่ค้างคามาจากรัฐบาลแพทองธาร ที่“รัฐบาลหนูชั่วคราว”จะต้องทำให้สะเด็ดน้ำในช่วงเวลา 4 เดือนนี้ ก่อนประกาศยุบสภาฯ
คือคดีที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2568 สั่งให้“ยิ่งลักษณ์”ชดใช้ค่าเสียหายจากคดีทุจริต“โครงการรับจำนำข้าว” เป็นเงิน 10,028 ล้านบาท หรือ 1 หมื่นล้านบาทเศษ ซึ่งก็เป็นเพราะกรมสรรพากรมีอธิบดีชื่อ“ปิ่นสายสุรัสวดี” และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังชื่อ“พิชัย ชุณหวชิร”อีกเช่นกัน เรื่องจึงถูก“ดึงเช็ง”เป็นการถ่วงเวลามาจนถึงปัจจุบัน
ทั้งหลายทั้งปวงนี้ ความจริงแล้ว“แพทองธาร ชินวัตร” ควระนำไปกล่าวปาฐกถาบนเวที“ยกเครื่องเพื่อไทย-ยกเครื่องประเทศไทย”เมื่อวันที่ 7ตุลาคมที่ผ่านมา อันจะเป็นการไขความกระจ่างว่า ทำไมพรรคการเมืองของ“ตระกูลชินวัตร” จึงต้องเผชิญชะตากรรมทางการเมืองอย่างสาหัส ตามที่”แพทองธาร”กล่าวว่า “โดนรัฐประหารมาแล้ว 2 ครั้ง ถูกยุบพรรคไปแล้ว 2 พรรค ปลดนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งถึง 6 คน โดยที่ผู้ที่ก่อรัฐประหารไม่ต้องคดี แต่ผู้ที่ก่อตั้งพรรคนี้ถูกจองจำ”
นั่นก็เพราะเหตุที่แท้จริง เนื่องมาจากสันดาน“โกงโคตร”ของคนใน“ตระกูลชินวัตร” ที่เล่นการเมืองไม่เพียงแต่มีผลประโยชน์ทับซ้อนเท่านั้น ยังเชี่ยวชาญในเรื่อง“ซุกหุ้น-เลี่ยงภาษี-หนีโทษ”อีกด้วย
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี