ความเคลื่อนไหวทางการเมืองของพรรคการเมือง กลุ่มการเมือง คนการเมืองต่างๆ ล้วนแต่มีเป้าหมายสำคัญในการเลือกตั้งใหญ่ที่กำลังจะมาถึง
1.การเลือกตั้งใหญ่ที่จะเกิดขึ้นต้นปีหน้า จะเป็นการเลือกตั้ง“ยุคหลังลุงตู่”
คือ จะไม่มีชื่อลุงตู่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา (องคมนตรี) อยู่ในบัญชีนายกฯ ของพรรคการเมืองใดๆ
ไม่มีลุงตู่มาเป็นตัวแปรนายกฯ ของขั้วพรรคการเมืองใดๆ
ประชาชนที่รัก ชื่นชม ศรัทธาในตัวลุงตู่ ก็จะต้องหาตัวเลือกทางการเมืองอื่น ที่มีโอกาสจะทำหน้าที่ดูแลประเทศได้ดีที่สุด มั่นคงปลอดภัยที่สุด แทนการเลือกลุงตู่
ที่ผ่านมา ชื่อลุงตู่เข้ามาอยู่ในสมการการเมือง ก็เพราะยังมีชื่อในบัญชีพรรคการเมือง แต่หลังจากนี้ ไม่มีแล้ว
2.พรรครวมไทยสร้างชาติ ที่เคยมีชื่อลุงตู่ในบัญชีนายกฯ และเป็นจุดขายสำคัญ บัดนี้ ถึงทางแยกชี้ชะตา
สส.ของพรรคส่วนใหญ่ เกือบทั้งหมด น่าจะไหลไปรวมพลังกันที่พรรคภูมิใจไทย พรรคสีน้ำเงิน
อย่างไรก็ตาม ยังมีคุณพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ยังนั่งเก้าอี้หัวหน้าพรรค และประกาศนำพรรคต่อไป
ยุทธศาสตร์การหาเสียง ดูจะมุ่งคะแนนปาร์ตี้ลิสต์ ชูปราบคอร์รัปชั่น ปฏิรูประบบราชการ ฯลฯ
จะขายได้หรือไม่ รอดูฝีมือการเดินหมากทางการเมือง เมื่อไม่มีลุงตู่แล้ว จะสร้างความเชื่อมั่นศรัทธาได้แค่ไหน?
ประเมิน ณ วันนี้ ค่อนข้างชัดเจนว่า มีโอกาสได้ สส. น้อยกว่าเดิม (หากอยู่ไปจนถึงเลือกตั้งใหญ่จริง)
3.พรรคประชาธิปัตย์ ยุคคุณอภิสิทธิ์รีเทิร์น จะฟื้นคืนชีพได้แค่ไหน
จะดึงคะแนนจากคนที่เคยหันมาเลือกลุงตู่กลับไปได้มั้ย
จะดึงคะแนนจากคนที่ผิดหวังกับพรรคส้มกลับไปได้มั้ย
จะดึงคะแนนจากคนที่เคยเลือกประชาธิปัตย์ยุคยิ่งใหญ่กลับมาได้มั้ย
นอกจากอยู่ที่ตัวหัวหน้าพรรคคนใหม่แล้ว คณะกรรมการบริหารพรรค และนโยบายพรรค นโยบายหาเสียงในการเลือกตั้งใหญ่ ก็ล้วนแต่สำคัญ
ประเมิน ณ วันนี้ มีโอกาสได้ สส. มากกว่าเดิม
4.พรรคเพื่อไทย ผูกชะตากับทักษิณและชินวัตร
ผลสำรวจไอเอฟดีโพลฯ ล่าสุด ตอกย้ำว่า พรรคเพื่อไทยถดถอย สาหัส
โพลถามว่า พรรคที่ไม่อยากให้เป็นแกนนำ? พบว่า พรรคเพื่อไทยถูกปฏิเสธมากที่สุด ร้อยละ 41.86
รองลงมาคือ พรรคประชาชน ร้อยละ 24.19 และพรรคภูมิใจไทย ร้อยละ 16.78
ทิศทางการเมืองหลังจากนี้ พรรคเพื่อไทยจะชูชินวัตรคนไหนขึ้นมาเป็นนายกฯ ก็ไม่ง่ายอีกต่อไป
แม้แต่ชื่อลูกเขย คือ คุณณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ผู้บริหารเอสซี แอสเสท ก็ไม่แน่ว่าจะเอาจริงหรือไม่
เพราะอาจจะทำให้ธุรกิจที่ตระกูลชินวัตรถือหุ้นเกือบเบ็ดเสร็จในตลาดหุ้น ต้องถูกสปอตไลท์การเมืองจับจ้องไปด้วย
ข้อพิพาทระหว่างครอบครัวรัตนพันธ์กับเอสซี แอสเสทฯ ก็ยังไม่จบสิ้น ฝ่ายนายศรายุทธและนางสาวลัดฟ้า รัตนพันธ์ ก็ยังเดินหน้าสู้คดีต่อไป เรียกค่าเสียหายคืน สุดท้ายจะจบอย่างไรก็ยังไม่แน่ชัด แต่ถ้าจบไม่สวย ก็จะกระทบทางการเมืองไปด้วยเต็มๆ เพราะพฤติกรรมสะท้อนมาตรฐานจริยธรรม
ยิ่งกว่านั้น วาทกรรมที่อดีตนายกฯอุ๊งอิ๊งค์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย นำเสนอในงาน “ยกเครื่องเพื่อไทยฯ” ยังวนเวียนกลับไปโจมตีรัฐประหาร ฟอกคดีทักษิณ และโอดครวญถึงการพ้นจากตำแหน่งของตนเอง ฯลฯ
เหมือนไม่ได้ตระหนักเลยว่า ที่ผ่านมา กระทำผิดพลาด บกพร่อง เสียหายอย่างไรในยามได้โอกาสเป็นรัฐบาล โดยเฉพาะการขับเคลื่อนนโยบายสำคัญล้มเหลว
กรณีที่นายกฯอุ๊งอิ๊งค์ต้องพ้นจากตำแหน่ง จะไปโทษใครอื่นไม่ได้เลย เมื่อปรากฏพฤติกรรมตามคลิปเสียงสนทนากับฮุนเซน จนถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรง
คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ระบุพฤติการณ์ร้ายแรงของนายกฯ ที่เป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย บางตอนระบุ อาทิ
“... เปิดเผยลักษณะอ่อนแอทางการเมืองในประเทศให้กัมพูชาทราบ... แสดงยอมตน หรือยอมจำนนล่วงหน้าให้ฮุนเซน... เปิดช่องให้กัมพูชาหยิบยื่นข้อเรียกร้องต่อฝ่ายไทยได้ตามความต้องการ...
ไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ชาติ เพราะรู้จักกับฮุนเซนส่วนตัว และดำเนินการเอื้อประโยชน์แก่กัมพูชา...
ลดทอนหรือทำให้เสียหายซึ่งเกียรติภูมิ หรือเกียรติของนายกฯ และประเทศไทย..
มีลักษณะเป็นการไม่พิทักษ์ไว้ซึ่งเกียรติภูมิ แต่ถือเอาประโยชน์ส่วนตัวเหนือกว่าผลประโยชน์ชาติ อันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมฯ มีลักษณะร้ายแรง…
... เสื่อมเสียเกียรติศักดิ์ของนายกฯ ไม่ยึดมั่นกฎหมาย และไม่คำนึงผลประโยชน์ชาติ …”
ส่วนกรณีทักษิณติดคุก ความจริงตอกย้ำชัดเจน ติดคุกเพราะคดีทุจริตประพฤติมิชอบ คดีทุจริตเงินกู้เอ็กซิมแบงก์ คุก3 ปี, คดีทุจริตหวยบนดิน คุก 2 ปี, คดีแปลงสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิตเอื้อหุ้นชินคอร์ปฯ คุก 5 ปี
อดีตนายกฯทักษิณ เคยถวายฎีกา ขอพระราชทานอภัยโทษ ยอมรับผิดตามคำพิพากษา อ้างว่าสำนึกผิดแล้ว แถมได้รับพระราชทานอภัยลดโทษ เหลือ 1 ปี แต่ก็ยังไม่ติดคุกตามพระบรมราชโองการ กระทั่งศาลฎีกาสั่งกลับไปติดคุกให้ครบถ้วน กระนั้น ยังขอถวายฎีการอบสอง อ้างอีกว่าสำนึกในการกระทำผิดแล้วทุกอย่าง คราวนี้ กระทั่งอดีตรมว.ยุติธรรม พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ลูกน้องคนใกล้ชิด ก็ยังต้องยกฎีกา คือ ไม่เห็นควรให้ได้รับการอภัยโทษ เพราะต้องติดคุกตามที่ศาลฎีกาสั่ง ตามพระบรมราชโองการนั่นเอง
ซ้ำยังปรากฏความจริงเรื่องชั้น 14 ชัดแจ้ง ในคำสั่งศาลฎีกา การบังคับโทษป็นไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทักษิณก็อาจมีส่วนรู้เห็น
ป.ป.ช.กำลังไต่สวนคดีเจ้าหน้าที่รัฐปฏิบัติหน้าที่มิชอบ กรณีป่วยทิพย์ชั้น 14 อดีตนายกฯ ทักษิณ จะถูกแจ้งข้อกล่าวหาในฐานะผู้สนับสนุน ด้วยหรือไม่?
ทั้งหมด คือที่มาของกระแสนิยมตกต่ำของพรรคเพื่อไทยและทักษิณ เลือดไหลออก
อยู่ที่พรรคเพื่อไทยยุคยกเครื่อง จะแก้ไขได้มากน้อยแค่ไหน
ประเมิน ณ วันนี้ พรรคเพื่อไทยมีโอกาสได้ สส. น้อยกว่าเดิม
4.พรรคส้ม แพ้ภัยวาทกรรม
ผลโพลทุกสำนัก สะท้อนไปในทางเดียวกัน ว่าคะแนนนิยมของพรรคส้ม ลดน้อยถอยลงต่อเนื่อง
แม้บางโพลจะอยู่อันดับหนึ่ง แต่ก็ลดน้อยลงกว่าเดิมอย่างมาก
เลือกตั้งใหญ่ครั้งหน้า พรรคส้มยังคงตั้งเป้าหมายว่าจะได้ สส. เกินครึ่ง คือ 250 เสียง
สวนทางกับความคิดเห็นประชาชนที่สะท้อนผ่านโพลสำนักต่างๆ
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้คะแนนนิยมตกต่ำ เช่น
วาทกรรมเซาะกร่อนบ่อนทำลาย แซะทหาร ด้อยค่าลุงตู่ ฯลฯ ถูกถลกหนังเผยให้เห็นแก่นแท้ความจริง ว่าวาทกรรมเหล่านั้นโกหกหลอกลวง และทำลายประเทศชาติส่วนรวมอย่างไร
การประกาศจะเดินหน้าจะแก้มาตรา 112 ต่อไป หากมีอำนาจเป็นรัฐบาล การผลักดันนิรโทษกรรมคนทำผิดคดี 112 ทั้งๆ ที่บางคนหนีคดี หนีคุก และชัดเจนแล้วว่าเอาความเท็จมาให้ร้ายสถาบัน
การโหวตให้นายอนุทินเป็นนายกฯ โดยที่พรรคส้มไม่ร่วมบริหาร ตอกย้ำว่าไม่มีความสามารถในการทำงานจริง เหมือนกลัวความล้มเหลวจะประจาน
ความจริงของการบริหารที่ อบจ. ลำพูน เมื่อพรรคส้มมีโอกาสบริหาร ก็ทำไม่ได้จริงเหมือนคำคุยโวหาเสียง ฯลฯ
ตอกย้ำว่า เป็นพรรควาทกรรมไร้ความสามารถในการทำงานจริง และจะพาประเทศติดหล่มความขัดแย้งไม่รู้จบ
ประเมิน ณ วันนี้ พรรคส้มมีโอกาสได้ สส. น้อยกว่าเดิม
แฟนเพจ วันนี้พรรคส้มโกหกอะไร ประเมินว่า จำนวน สส. พรรคส้ม จาก 151 ที่นั่ง ปี 2566 จะเหลือ 97 ที่นั่ง ในการเลือกตั้งครั้งต่อไป
ระบุว่า รวบรวมข้อมูลจากสื่อโซเชียลตลอด 2 ปี ส่งให้ AI ประเมินผลพบว่า พรรคส้มจะเหลือแค่ 97 ที่นั่งหายไป 54 ที่นั่ง
“...เหตุผลหลัก คือ คนเริ่มเห็นความจริง
“มีเราไม่มีลุง” ขายไม่ได้แล้ว
“ไม่ต้องเกณฑ์ทหาร” คนรุ่นใหม่หลายคนอยากรับใช้ชาติ ภูมิใจที่เป็นทหาร
“เบี้ยผู้สูงอายุ 3,000” รู้กันอยู่ว่าทำไม่ได้จริง ไม่มีงบ
“คนเบื่อ woke” คนไทยส่วนใหญ่ต้องการความสมดุล
สส. เขต ทำงานพื้นที่ไม่เป็นไม่ลงพื้นที่...
ปล. ภาคเหนือ : เชียงรายลดลง, อีสาน : โคราชลดลง,กลาง : อยุธยา ลพบุรี ส้มหาย, ตะวันออก : ฉะเชิงเทรา 0 ชลบุรี-ระยอง ลดเกือบครึ่ง, ปริมณฑล : นนทบุรี สมุทรปราการ หายเกือบครึ่ง, กรุงเทพฯ : โซนชั้นในหายมากที่สุดใต้ : ภูเก็ต 0 ไปโผล่ เขต 1 อีกจังหวัด..”
5.พรรคภูมิใจไทย ผลงานรัฐบาลเฉพาะกาลจะชี้ชะตา ว่าควรได้รับโอกาสบริหารเต็มสมัย หรือไม่?
ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ บอกกับชาวอเมริกันว่า “Make America Great Again” ได้รับแรงสนับสนุนจากชาวอเมริกัน
วันก่อน นายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล บอกกับนักลงทุนและประชาชนคนไทยว่า จะต้องช่วยกันนำพาประเทศไทยกลับไปเป็นประเทศอันดับหนึ่งของอาเซียน
ซึ่งก็คงประมาณว่า “Make Thailand Great Again”
4 เดือนนี้ ไม่มีทางสำเร็จแน่ แต่น่าจะพอเห็นฝีไม้-ลายมือ ว่ามีแววมั้ย ควรจะให้ทำงานต่อแบบเต็มๆ สมัยเลย ได้มั้ย?
ตั้งแต่เริ่มต้นรัฐบาล จนถึงปัจจุบัน ภาพสะท้อนผ่านโพลต่างๆ ระบุไปในทิศทางเดียวกันว่า นายกฯอนุทินและพรรคภูมิใจไทยได้รับคะแนนนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
น่าสนใจโดยเฉพาะกระแสพรรค ปาร์ตี้ลิสต์ ที่เป็นจุดอ่อนของภูมิใจไทยมาโดยตลอด (ที่ผ่านมา จุดแข็ง คือ สส. เขต)
พรรคส้มที่กลัวลุงตู่จะมาเป็นนายกฯ จนยกมือให้อนุทินเป็นนายกฯ แลกเงื่อนไขยุบสภา จึงพยายามกดดันรัฐบาลเฉพาะกาลในทำนองว่า เลือกให้มายุบสภา แก้รัฐธรรมนูญ ไม่ใช่ให้มาทำคนละครึ่ง
ลึกๆ พรรคส้ม เริ่มกลัวอนุทิน แทนลุงตู่แล้ว
หากนายอนุทิน ยังคงนำรัฐบาลบริหารให้เกิดความเชื่อมั่นศรัทธา เกิดการยอมรับและไว้ใจ โอกาสจุดติดกระแสของภูมิใจไทยก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
โอกาสที่พรรคภูมิใจไทยจะมีคะแนนนิยมแซงพรรคเพื่อไทย ขึ้นมาสู้กับพรรคส้ม กระทั่งเป็นพรรคอันดับหนึ่ง ใช่ว่าจะไม่มี
ถ้ารัฐบาลอนุทินผลักดัน “Quick Big Win” ฟื้นเศรษฐกิจใน 4 เดือนสำเร็จ เห็นผลรูปธรรม ไม่ว่าจะเป็น 1. กระตุ้นเศรษฐกิจและท่องเที่ยว 2. แก้หนี้ประชาชน 3. ช่วยเหลือ SME เพิ่มสภาพคล่องให้ธุรกิจ 4. เพิ่มการออมภาคประชาชน 5. สร้างอุตสาหกรรมแห่งอนาคต
หากเศรษฐกิจมีแนวโน้มฟื้นตัว การค้าขายฐานราก การบริโภค การท่องเที่ยว การลงทุน เริ่มกลับมา
นำเกียรติ ศักดิ์ศรี และความภาคภูมิใจของประเทศไทยคืนมา ความมั่นคงชายแดนมีแนวโน้มในทางที่ดีต่อเนื่อง
วางฐานให้เห็นโอกาสที่ประเทศไทยจะกลับมาเป็นประเทศอันดับหนึ่งของอาเซียน
ประเมิน ณ วันนี้ พรรคภูมิใจไทยมีโอกาสได้ สส. มากกว่าเดิมค่อนข้างแน่ แต่จะมากถึงขนาดไหน ยังยากจะประเมินในเวลานี้
6.สมการการเมืองสมัยหน้า
มีความเป็นไปได้ว่า พรรคฝ่ายค้านในปัจจุบันที่มีเสียงข้างมากในสภา คือ พรรคเพื่อไทยกับพรรคส้ม น่าจะรวมกันได้ไม่ถึงครึ่ง
ตัวแปรสำคัญ ที่จะเป็นเช่นนั้นหรือไม่ นอกจากผลงานของรัฐบาลเฉพาะกาลแล้ว ยังอยู่ที่การเคลื่อนไหวทางการเมืองของ “พรรคกล้าธรรม”
ถ้าพรรคภูมิใจไทย พรรคกล้าธรรม พรรคแนวร่วมทางการเมือง ประสานมือกันทำงานการเมือง เสียงไม่แตกไม่ทับซ้อนแย่งชิงกันเอง เชื่อว่า จะเป็นคู่แข่งที่น่าเกรงขามอย่างยิ่งสำหรับพรรคแดงและพรรคส้ม
และถ้าส้มกับแดงรวมกันไม่ถึงครึ่ง ก็แน่นอนว่า พรรคภูมิใจไทยและพรรคแกนนำรัฐบาลปัจจุบัน จะจับมือเป็นรัฐบาลเต็มสมัย
โดยอาจดึงเอาบางพรรคที่แนวทางการเมืองไปในทิศทางเดียวกัน เข้ามาเป็นพรรคร่วมเพิ่มเสียง สส. ให้มีเสถียรภาพมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ทั้งหมด จับตาดูความชัดเจนทางการเมืองช่วงปลายปี เมื่อใดที่ประกาศยุบสภา การย้ายพรรค การก่อตัวทางการเมืองของตัวเลือกและคู่แข่งขันทางการเมือง จะปรากฏชัดเจน เป็นทางการ
....จบ...
สันติสุข มะโรงศรี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี