ปัญหาเฉพาะหน้าของ “รัฐบาลหนูชั่วคราว” ชุดนี้..ที่มีนายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรี..โดยมีเวลาจำกัดเพียงแค่ 4 เดือนนั้น..ตัวนายกรัฐมนตรีไม่ต้องไปวอกแวกเรื่องอื่นใดให้เสียเวลามากนัก..ขอให้เน้นแค่ 2 ปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น
2 ปัญหาเฉพาะหน้าที่“รัฐบาลหนูชั่วคราว”ต้องทำให้เห็นผล..ก่อนประกาศยุบาสภาฯในปลายเดือนมกราคม 2569 ปีหน้า..ซึ่งนายอนุทิน ชาญวีรกูล..ให้คำมั่นสัญญาในวันแถลงนโยบายต่อรัฐสภาว่า..ไม่เกินวันที่ 31 มกราคม 2569 จะยุบสภาฯ นั้น..คือการแก้ปัญหาเศรษฐกิจเรื่องการอยู่การกิน และการทำมาค้าขายของประชาชน..ที่ทุกข์ยากเดือดร้อน..เพราะ 2 ปีของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยได้สร้างปัญหาสะสมหมักหมมไว้
และอีกปัญหาหนึ่ง..คือ..ปัญหาข้อพิพาทระหว่างไทย-กัมพูชา..ที่ “2 ทรราชพ่อลูกตระกูลฮุน”..เปิดศึกรุกรานไทย..ซึ่งนายอนุทิน ชาญวีรกุล..ได้พูดชัดเจนทั้งในวันที่แถลงนโยบายต่อรัฐสภา..และจากการให้สัมภาษณ์ล่าสุดเมื่อวันที่ 1 ตุลาคมก่อนหน้านี้ว่า..“วันนี้เราดูในเรื่องประโยชน์ของประเทศไทยเท่านั้น..เราเปลี่ยนท่าทีแล้ว..เพราะสิ่งที่เขาปฏิบัติมา..ก็ไม่มีอะไรที่เราจําเป็นจะต้องไปให้ความเกรงใจ..ถ้าอะไรก็ตามที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศไทย”
เอาแค่ 2 ปัญหานี้พอ..ซึ่งปัญหาแรกเรื่องเศรษฐกิจนั้น..ฟังจากปากของนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ..รองนายกรัฐมนตรี..และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง..ที่เปิดเผยภายหลังการประชุมมอบนโยบายแก่ผู้บริหารกระทรวงการคลัง..เมื่อวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา..ก็ชัดเจนอีกเช่นกัน..โดยกล่าวว่า รัฐบาลต้องเร่งเดินหน้าเพื่อผลักดันให้“รถยนต์เศรษฐกิจไทย”ให้พ้นจากหล่ม..และไม่ตกเหว..โดยยืนยันว่า..ทุกฝ่ายเห็นความจำเป็นเร่งด่วนในเรื่องนี้..และจะร่วมมือ..ร่วมแรงร่วมใจกันดำเนินการอย่างเต็มที่..ภายใต้การรักษาเสถียรภาพทางการคลังอย่างเข้มข้น
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ..“ขุนคลังฝีมือฉกาจ”วัย 54 ปี..จบปริญญาโทและเอกด้านเศรษฐศาสตร์..จากประเทศสหรัฐอเมริกา..ในฐานะนักเรียนทุน กพ. อดีตนักรักบี้ฟุตบอลเยาวชนทีมชาติไทย..และเป็นลูกหม้อของกระทรวงการคลัง.. ไม่พูดอ้อมแอ้มเอ้ออ้า..และไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนเหมือนรัฐมนตรีฯคลังจากรัฐบาลชุดก่อน..ที่เป็นสายตรงของ“บ้านจันทร์ส่องหล้า”-ให้สัมภาษณ์อย่างนี้
“โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เตรียมผลักดันออกมาในระยะนี้..คือ..‘โครงการคนละครึ่งพลัส’..วงเงินดำเนินการรวม 6.6 หมื่นล้านบาท..แบ่งเป็นการดำเนินการผ่านการเพิ่มวงเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ..จำนวน 13.4 ล้านราย..วงเงิน 2.2 หมื่นล้านบาท..และในสัปดาห์หน้าจะเสนอให้ที่ประชุม ครม.เห็นชอบ..สำหรับประชาชนทั่วไป 20 ล้านคน..จะใช้เม็ดเงินจากงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 2.5 หมื่นล้านบาท..และงบกลางอีก 1.9 หมื่นล้านบาท..และคาดว่าจะสามารถเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนได้ในวันที่ 20-26 ตุลาคม 2568..ขณะที่ร้านค้าลงทะเบียนได้ตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคมนี้..โดยสามารถลงทะเบียนได้จนกว่าจะจบโครงการ..และเริ่มใช้จ่ายได้ตั้งแต่ 29 ตุลาคมจนถึงสิ้นเดือนธันวาคม 2568”
ฟังจากรัฐมนตรีคลัง..ซึ่งเป็น“ขุนคลังคู่ใจ”ของนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ“อนุทิน ชาญวีรกูล”พูดแล้ว..ปัญหาเศรษฐกิจเฉพาะหน้านี้..น่าจะหายห่วงไปได้อีกเปลาะ..อย่างน้อยใน 4 เดือนนี้..“ชาวบ้านร้านถิ่น”..คือ..ทั้งประชาชนทั่วไป..และพ่อค้าแม่ขายรายย่อย..คงพอได้คลายความเดือดร้อนลงไปได้อย่างทั่วถึงในระดับหนึ่ง..ไม่ใช่โครงการครึ่งๆ..กลางๆ..แบบมีผลประโยชน์ทับซ้อน..เช่นโครงการ“แจกเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท”..ที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยโดย“แพทองธาร ชินวัตร”ล้างผลาญไป 1.85 แสนล้านบาท..แต่“เงียบกริ๊บ”..ไม่มีอะไรเกิดขึ้น..เช่นเดียวกับโครงการ“ซอฟต์พาวเวอร์”..ที่เฉพาะ“คุณหนูอุ๊งอิ๊งค์”คนเดียว..ถลุงไปถึง 5.1 พันล้านบาท
อีกปัญหาหนึ่ง..ซึ่งเป็นปัญหาเฉพาะหน้า..คือ“ปัญหาข้อพิพาทระหว่างไทย-กัมพูชา”..ที่จะต้องทำให้จบภายใน 4 เดือนนี้..ประการแรกคือ..รัฐบาลจะต้องยกเลิก “MOU 43” และ “MOU 44”ทันที..โดยไม่ต้องไปถามประชามติให้ยุ่งยากซับซ้อน..และชาวบ้านส่วนใหญ่ก็ไม่ได้รู้เรื่อง“เทคนิค”ใดๆ ด้วย..ก็รออยู่ว่า“รัฐบาลหนูชั่วคราว”จะยกเลิกชั่วโมงไหน..จากที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล..ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 1 ตุลาคมวันก่อนว่า..“ถ้าถึงขั้นที่ว่า..มีไปก็ไม่เกิดคุณค่าอะไร..ครม.ของผมก็พร้อมจะยกเลิกเอ็มโอยู”..ทั้งนี้..ผ่านมา 25 ปี..ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า“MOU”ทั้งสองฉบับนี้ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรเลยกับประเทศไทย..มีแต่จะทำให้เสียประโยชน์
และจากที่ได้ประมวลข้อคิดเห็น..ของอดีตรัฐมนตรีต่างประเทศ..นักการทูต..และนักวิชาการด้านความมั่นคง..ส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่า..การแก้ไข“ปัญหาข้อพิพาทระหว่างไทย-กัมพูชา”เฉพาะหน้านี้..นอกจากจะต้องยกเลิก“MOU”ทั้งสองฉบับดังกล่าวแล้ว..สิ่งที่“รัฐบาลหนูชั่วคราว”จะต้องดำเนินการก็คือ
1)ให้กัมพูชาถอนกำลังและอาวุธหนักออกไปจากพื้นที่กลับไปยังที่ตั้ง..เพื่อแสดงความจริงใจที่จะไม่คุกคาม..หรือเสริมสร้างการเผชิญหน้า,..2)กู้ทุ่นระเบิดและทำลายระเบิดที่กัมพูชาฝังไว้..ทั้งทางฝั่งกัมพูชาและฝั่งไทยที่กัมพูชาลักลอบเข้ามาฝัง..และ3)ปราบปรามแก๊งอาชญากรรมข้ามชาติ..ทั้งแก๊งคอนเซ็นเตอร์.. สแกมเมอร์..และการค้ามนุษย์..โดยประเทศไทยจะต้องจับมือกับมิตรประเทศ บีบให้กัมพูชาจัดการกับเรื่องนี้อย่างจริงจัง..เพราะเรื่องนี้..นอกจากจะสร้างปัญหาให้แก่ประเทศต่างๆ แล้ว..ยังเป็นแหล่งสร้างรายได้ให้แก่เจ้าหน้าที่รัฐและสมาชิกพรรครัฐบาลกัมพูชา“สีเทา”..ปีหนึ่งมากว่า 6 แสนล้านบาทต่อปี
อย่างไรก็ดี..ปัญหาเร่งด่วนเรื่องปัญหากัมพูชานี้..สมควรที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล..จะต้องทำให้ได้..เพราะเพิ่งจะให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 1 ตุลาคมดังที่ยกมาข้างต้นว่า..“วันนี้เราดูในเรื่องประโยชน์ของประเทศไทยเท่านั้น..เราเปลี่ยนท่าทีแล้ว..เพราะสิ่งที่เขาปฏิบัติมา..ก็ไม่มีอะไรที่เราจําเป็นจะต้องไปให้ความเกรงใจ”
เพราะฉะนั้น..เมื่อ“มีรูมีหนู”..ไม่มี“อังเคิล”ให้ต้องเกรงใจแบบมีผลประโยชน์ทับซ้อน..เหมือนรัฐบาลไทยหัวใจเขมรที่เพิ่งจะสิ้นสภาพไป..ต้องบีบกัมพูชาให้ได้..ซึ่งถ้าหากไม่ยอม-รบก็ต้องรบกัน !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี