วันพฤหัสบดี ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2568
มื่อช่วงเช้าวันที่ 3 ธันวาคมเมื่อวานนี้ ข่าวน้ำท่วมภาคใต้ถูกแย่งพื้นที่จากการที่นางสาวไรบีนา อินทชัย หรือ นานา ไรบีนา ดาราสาวชื่อดัง วัย 45 ปี ถูกตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) จับกุมตัวที่บ้านพักย่านพระโขนง ในข้อหาฉ้อโกงจากการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ วงเงินกว่า 400 ล้านบาท และถูกควบคุมตัวไปสอบปากคำที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) เพื่อขยายผลทางคดีต่อไป
ข่าวนี้สื่อให้ความสำคัญ เพราะ“นานา ไรบีนา” เป็น“ตัวแม่ตัวมัม”ของเมืองไทย ซึ่งถูกยกให้เป็นพี่ใหญ่แห่ง“แก๊งนางฟ้า”ของกลุ่มเพื่อนดารา ที่สื่อมวลชนตั้งฉายา“แก๊งนางฟ้า”ให้ เนื่องจากแก๊งนี้มีดาราตัวแม่ระดับแถวหน้าของวงการบันเทิงไทยอยู่ในกลุ่ม อาทิ “เจนี่ เทียนโพธิ์สุวรรณ์”, “แอน อลิชา หิรัญพฤกษ์, “เจนสุดา ปานโต”, “พอลล่า เทเลอร์”, วุ้นเส้น วิริฒิพาภักดีประสงค์ และ “คริส หอวัง”
ก็ว่ากันไป ถ้าเธอทำผิดจริง เมื่อคดีถึงที่สุดก็ต้องก็ติดคุกรับใช้กรรมตามที่ตนเองได้เป็นผู้ก่อไว้ ซึ่งกรณีของดาราสาวผู้นี้ ยังถือว่ามีสำนึกรับผิดชอบ ไม่หลบหนีคดีแบบไปตายเอาดาบหน้า ต่างจากบางรายเช่นคนของ“ตระกูลชินวัตร”ที่โกงชาติโกงแผ่นดิน หนึ่งในนั้น ก็คือ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”ที่โกงชาติโกงแผ่นดินจากคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ระหว่างเป็นนายกรัฐมนตรี นอกจากจะหลบหนีโทษไปอยู่ในต่างแดนแล้ว แม้แต่เงินค่าเสียหายที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาให้ชดใช้จำนวนกว่า 1 หมื่นล้านบาท เมื่อไม่นานมานี้ เวลานี้กระทรวงการคลังโดยกรมสรรพากรก็ยังเงียบอยู่ ไม่มีข่าวความคืบหน้าว่าได้ติดตามเรียกคืนหรือยึดคืนไปถึงไหนแล้ว
อีกคนหนึ่งถือว่าเป็นตัวพ่อ คือ“ทักษิณ ชินวัตร”ผู้เป็นพี่ชาย และเป็นเสาหลักของคนใน“ตระกูลชินวัตร” ซึ่งเวลานี้มีสถานภาพเป็นนักโทษเด็ดขาดชายติดคุกอยู่ในเรือนจำกลางคลองเปรม จากคดีทุจริตโกงบ้านกินเมืองอีกเช่นกัน ซึ่งศาลฎีกาเพิ่งจะมีคำพิพากษาเมื่อเร็วๆ นี้ สั่งให้เสียภาษีจากการขายหุ้นบริษัทชินคอร์ป จำนวน 1.76 หมื่นล้านบาทแก่กรมสรรพากร ปรากฏว่าเรื่องก็เงียบอีกเช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม กลับมาดูเรื่องปัญหาน้ำท่วมภาคใต้ ก็ต้องถือว่าประเทศไทยนั้นยังโชคดีกว่าประเทศอื่นๆ ที่ประสบปัญหาเดียวกันกับเรา การฟื้นฟูเยียวยาและการทำความสะอาดบ้านเมืองก็ดำเนินไปด้วยดี แม้จะมีปัญหาระหว่างทางบ้าง จากพวก“หิวแสง”ประเภทจิตไม่ว่าง คือพวกลูกอีช่างติ ช่างบ่น ช่างด่า ก็ต้องถือว่าเป็นเรื่องปกติ ซึ่งเมื่อเทียบกับอินโดนีเซีย และศรีลังกา แล้ว แม้เราจะทุกข์แต่ก็ยังทุกข์น้อยกว่าเขา
ที่อินโดนีเซียนั้น ยอดผู้เสียชีวิตจากเหตุน้ำท่วมและดินถล่มจังหวัดอาเจะห์ รวมทั้งเกาะสุมาตราตะวันออกและตะวันตก เมื่อเร็วๆ นี้ จากอิทธิพลของพายุไซโคลนทำให้เกิดสถานการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ ตัวเลขล่าสุดเมื่อวันที่ 3 ธันวาคมที่ผ่านมา ยอดรวมทั้งสิ้น 774 ศพ สูญหาย 504 คน เป็นตัวเลขจริงไม่ใช่“ตัวเลขมโน”เหมือนกับตัวเลขของ “บิ๊กโจ๊ก” หรือ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล ที่พยายามจะยืนยันและดึงดันให้เป็นจริง ว่าผู้เสียชีวิตที่หาดใหญ่มียอดแตะถึง 1 พันศพ
ตรงกันข้ามกับตัวเลขของกระทรวงสาธารณสุขเมื่อวันที่ 2 ธันวาคมที่ผ่านมา เฉพาะอำเภอหาดใหญ่มี 142 ศพจากยอดรวมของจังหวัดสงขลาทั้งหมด 229 ศพ และเมื่อรวมอีก 7 จังหวัด คือ นครศรีธรรมราช 10 ศพ, ตรัง3 ศพ, พัทลุง 4 ศพ, สตูล 3 ศพ, ปัตตานี 9 ศพ, ยะลา 5 ศพ และนราธิวาส 4 ศพ ยอดจริงล่าสุดทั้งหมดทุกจังหวัด ก็คือ 267 ศพ
นอกจากนั้น ที่อินโดนีเซีย ซึ่งเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดในอาเซียน จากสถานการณ์ดังกล่าว เวลานี้ยังคงมีประชาชนไร้ที่อยู่อาศัยอีกกว่า 1,200,000 คน และทางการอินโดนีเซียได้ระดมจัดส่งเสบียงเข้าไปในพื้นที่ประสบภัยเป็นการเร่งด่วน ทั้งข้าวสารและน้ำมันปรุงอาหาร หลังมีรายงานว่าหลายพื้นที่เริ่มขาดแคลนข้าว ผักและสินค้าจำเป็นอื่นๆ ซึ่งตกอยู่ในสถานการณ์ที่จะต้องเผชิญกับภาวะอาหารขาดแคลนขณะที่ราคาสินค้าต่างๆ กำลังพุ่งสูงขึ้น หลังผู้มีกำลังซื้อเร่งกักตุนสิ่งของจำเป็น
ที่ศรีลังกา ก็ไม่ต่างจากที่อินโดนีเซีย ศรีลังกา กำลังเผชิญวิกฤตภัยพิบัติครั้งรุนแรง หลังเกิดน้ำท่วมและดินถล่มหลายพื้นที่ทั่วประเทศ อันเนื่องมาจากฤดูมรสุมที่รุนแรงและผลกระทบจาก“พายุไซโคลนดิตวาห์” (Cyclone Ditwah) ที่พัดขึ้นฝั่งเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต ณ เวลานี้ไม่ต่ำว่า 366 ศพ และสูญหายอีกว่า 367 ราย
ศูนย์บริหารจัดการภัยพิบัติศรีลังกาเปิดเผยว่า พื้นที่ที่พบผู้เสียชีวิตมากที่สุดคือเมืองแคนดี้ และ บาดุลลาขณะที่หลายภูมิภาคยังถูกตัดขาดจากโลกภายนอก ทางเข้าหลายเส้นถูกน้ำป่าและดินโคลนปิดกั้น ทำให้ขาดแคลนอาหารและน้ำสะอาดอย่างหนัก ทางการยังต้องประกาศอพยพเร่งด่วนในบางเขต เนื่องจากระดับน้ำในแม่น้ำ เคลานิยา ยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกัน ความเสียหายจากพิบัติภัยของศรีลังกาครั้งนี้ ยังทำให้บ้านเรือนกว่า 20,000 หลังคาเรือน พังเสียหายชาวบ้านกว่า 108,000 คน ต้องอพยพไปยังศูนย์พักพิงฉุกเฉินของรัฐ ขณะที่พื้นที่ราวหนึ่งในสามของประเทศตกอยู่ในความมืด ไม่มีทั้งกระแสไฟฟ้า และน้ำประปาใช้ ส่งผลให้รัฐบาลต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทั่วพื้นที่ประสบภัย
ทั้งนี้ ประธานาธิบดีอนูรา กุมารา ดิสสานายาเกของศรีลังกา ระบุว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ถือว่าเป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติที่ใหญ่และท้าทายที่สุดในประวัติศาสตร์ของศรีลังกา พร้อมกันนี้ ประธานาธิบดีของศรีลังกา ก็ยังได้ร้องขอความช่วยเหลือจากนานาชาติในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่ติดค้างตามพื้นที่ต่างๆ โดยที่เวลานี้มีทีมกู้ภัยจากอินเดีย ปากีสถาน บังกลาเทศ และญี่ปุ่นเดินทางไปถึงศรีลังกาแล้ว
ตามไปดูต่อที่ฟิลิปปินส์ แม้ภัยน้ำท่วมจากไต้ฝุ่น“คัลแมกี” (Kalmaegi) และไต้ฝุ่นฟงวอง (Fung-wong) จะเข้าถล่มเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาและผ่านพ้นไปแล้ว ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตเกือบ300 ศพ และสูญหายอีกจำนวนหนึ่ง บ้านเรือนประชาชนเสียหายเป็นจำนวนมาก อันถือได้ว่าเป็นสถานการณ์น้ำท่วมครั้งรุนแรงที่สุดในรอบหลายปีของฟิลิปปินส์ แต่ปัญหาก็ยังไม่จบ เพราะประธานาธิบดีมาร์กอสจูเนียร์ ของฟิลิปปินส์ ถูกประชาชนเดินขบวนประท้วงและเรียกร้องให้ลาออกจากตำแหน่ง
อันเนื่องมาจาก ชาวฟิลิปปินส์พบว่า นักการเมือง รวมถึงพันธมิตรของประธานาธิบดีมีการทุจริตมูลค่าหลายล้านล้านเปโซ ที่มีการกล่าวหานักการเมือง รวมถึงพันธมิตรของประธานาธิบดีมาร์กอส จูเนียร์ มีการทุจริตโดยรับเงินสินบนหลายพันล้านเปโซในการจัดซื้อจัดจ้างเกี่ยวกับโครงการป้องกันน้ำท่วมที่ไร้ประสิทธิภาพ และรวมทั้งไม่มีการก่อสร้างจริงอีกด้วย นอกจากนี้ความเสียหายเป็นวงกว้างจากไต้ฝุ่นคัลแมกี และไต้ฝุ่นฟงวอง ที่คร่าชีวิตชาวฟิลิปปินส์ไปจำนวนหลายร้อยศพนั้น ยังได้เพิ่มดีกรีของความไม่พอใจให้แก่ประชาชนพุ่งขึ้นไปอีก
บรรทัดนี้ก็ต้องบอกว่า ดูบ้านเขาแล้วย้อนกลับมาดูเราเอง ยังไงเราก็ยังดีกว่าเขาเป็นร้อยเท่าพันทวีที่ไม่ดีอยู่อย่างเดียวคือ บ้านเรามีพวกลูกอีช่างติ ช่างบ่นช่างด่า ประเภทจิตไม่ว่างมากไปหน่อยแค่นั้นเอง !
รุ่งเรือง ปรีชากุล

ดีกว่านี้ได้อีก!‘โค้ชวัง’ถ่อมช้างศึกยังไม่ท็อปฟอร์ม
'กิตติรัตน์'ท้วง กษ.ควรออกประกาศห้ามเผาป้องกัน PM2.5 ตั้งแต่ ธ.ค.นี้
คอนเฟิร์มแล้ว ดีเจดาด้า เผยรู้มาเป็นปี นานา-เวย์ ไทเทเนียม หย่ากันจริง
เมล็ดพันธุ์ สส.ที่ดี! ‘ปชป.’ภาคกลางเปิดงาน‘เพาะกล้า’คัด สส.
ทบ.ไทยย้ำปฏิบัติการใช้อาวุธมุ่งเฉพาะ'เป้าหมายทางทหาร'ตามหลักมนุษยธรรมสากล

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี