วันศุกร์ ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2568
ใครที่ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียทางการเมือง ย่อมคิดได้ว่า การปล่อยภาพ “เบน สมิธ” ยืนคู่กับนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี เป้าหมายก็เพื่อเจตนาทางการเมือง โดยหวังที่จะเตะตัดขานายอนุทินในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ซึ่งพรรคภูมิใจไทยจะเป็นคู่แข่งของพรรคประชาชนแทนที่พรรคเพื่อไทย และมีแนวโน้มว่าจะมีชัยเหนือการเลือกตั้งหลังยุบสภาฯ
นอกจากนั้น ก็ยังมีเป้าที่จะทำลายนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และนางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์รัฐมนตรีโควตาคนนอกมืออาชีพผู้มีความรู้ความสามารถที่นายอนุทินชาญวีรกูล เชื้อเชิญเข้ามาทำงาน และช่วงเวลาไม่ถึง 2 เดือนที่เข้าไปเป็นรัฐมนตรี ปรากฏว่ามีผลงานโดดเด่นทั้งสองคน
ทั้งนี้ทั้งนั้น คนไทยที่มีใจเป็นธรรม ต่างก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่า ช่วงเวลาไม่ถึง 2 เดือนที่พรรคภูมิใจไทยที่เข้ามาเป็นรัฐบาล โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรี พรรคภูมิใจไทยสามารถทำงานเข้าตาประชาชน ทั้งจาก“โครงการคนละครึ่งพลัส”ที่มีนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ เป็นเฟืองจักรสำคัญ ที่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นได้อย่างเห็นผล ต่างจาก 2ปีของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่ไม่มีผลงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันให้พูดถึงเลย นอกจากความวิบัติทางเศรษฐกิจที่เลวร้ายลงไปกว่าเดิมอีก รวมทั้งเงินงบประมาณแผ่นดินที่ถูกล้างผลาญไปเกือบ2 แสนล้านบาทในโครงการแจกเงิน“ดิจิทัล 1 หมื่นบาท” โดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ส่วนนางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ผลงานอันโดดเด่นในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ทำงานไม่ถึง 2 เดิอน แต่กลับมีผลงานมากกว่า 2 ปีของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ของพรรคเพื่อไทย ทั้งนายภูมิธรรม เวชยชัย ในสมัยรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน และนายพิชัย นริพทะพันธุ์ สมัยรัฐบาล“แพทองธาร ชินวัตร”
เช่น การเจรจาการค้าข้อตกลงความร่วมมือด้านการค้าข้าว โดยการเจรจากับสิงคโปร์เพื่อยกระดับการค้าข้าวไทยและสร้างความมั่นคงทางอาหารความตกลงเศรษฐกิจดิจิทัลของอาเซียน (DEFA) ซึ่งรัฐบาลไทยตกลงจะจำหน่ายข้าวให้แก่รัฐบาลสิงคโปร์ในปริมาณสูงสุดไม่เกิน 1 แสนตัน ตลอดระยะเวลาความร่วมมือ 5 ปีและสำคัญที่สุดคือ การวางแผนไปถึงอนาคตที่ไม่จำกัดเฉพาะการค้าข้าวเท่านั้น แต่จะขยายไปยังสินค้าเกษตรอื่นๆ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและโอกาสทางการค้าใหม่ๆ รวมถึงขยายความร่วมมือไปยังประเทศคู่ค้ารายอื่น ทั้งในและนอกภูมิภาค เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางความมั่นคงทางอาหารของภูมิภาค (Food Security Hub) อย่างแท้จริง และจากที่ว่ามานี้เป็นเพียงแค่บางส่วนเสี้ยวเท่านั้น ที่ 2 ปีของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยไม่สามารถทำได้
ดังนั้น การปล่อยภาพ“เบน สมิธ” ยืนคู่กับนายอนุทิน ชาญวีรกูล รวมทั้งภาพที่มีนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ยืนร่วมเฟรมกับ“เบน สมิธ”อยู่ด้วย จึงคิดเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ นอกจากการทำลายล้างคู่แข่งทางการเมืองด้วยวิธีสกปรก และก็เป็นวิธีที่ใช้กันมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ซึ่งก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้การเมืองของประเทศไทยหรือระบบการเมืองในระบอบประชาธิปไตยของไทยไม่พัฒนาไปถึงไหน อีกทั้งยังเป็นตัวบ่งชี้ให้เห็นได้อีกด้วยว่า ระบอบประชาธิปไตยและการเมืองในประเทศนี้จะพัฒนาได้ ไม่ใช่“รัฐธรรมนูญ” แต่อยู่ที่“จิตสำนึก”ของนักการเมืองว่าจะเปลี่ยน“สันดาน”หรือไม่
ถามว่าถ้าเพียงแค่รูปถ่ายที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล มีอยู่ในเฟรมเดียวกับ“เบน สมิธ”แล้วสรุปว่า นายอนุทินร่วมขบวนการแก๊งสแกมเมอร์กับ“เบน สมิธ” และถ้าหากเป็นอย่างนั้นจริง ก็แล้วทำไมนายอนุทินถึงไม่ช่วย“เบน สมิธ” ที่เมื่อวันที่ 2 ธันวาคมที่ผ่านมา เพิ่งจะถูกคณะกรรมการธุรกรรม สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) มีมติให้ยึดและอายัดทรัพย์สินในคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 4 คดีใหญ่ รวมทั้งหมด 289 รายการ มูลค่ารวมประมาณ 10,165 ล้านบาท หลังตรวจพบเครือข่ายสแกมเมอร์ข้ามชาติที่เชื่อมโยงกันหลายชั้น ด้วยการใช้วิธีฟอกเงินผ่านสินทรัพย์ดิจิทัล บัญชีม้า และธุรกรรมหมุนเวียนระหว่างประเทศ ซึ่งเครือข่ายสแกมเมอร์ข้ามชาติตัวสำคัญที่ว่านี้ก็คือ “เฉิน จื้อ”, “ก๊ก อาน” และ“เบน สมิธ”
และถ้าจะว่าไปแล้วเกี่ยวกับรูปภาพนั้น ใครเป็น“เบน สมิธ”ก็ต้องถ่ายภาพกับทุกคนที่อยู่ในวงจรอำนาจ เพราะ“เบน สมิธ”เป็นผู้ดำเนิน“ธุรกิจสีเทา”ในฐานะเครือข่ายสแกมเมอร์ข้ามชาติตัวสำคัญ เนื่องจากตามเหตุผลทางจิตวิทยานั้น อาชญากรอาจถ่ายรูปกับคนดังเพื่อให้ดูน่าเชื่อถือขึ้น หรือเพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้ดูดี อันเท่ากับเป็นการสร้างความน่าเชื่อถือและความชอบธรรม หรือเพื่อแบล็กเมล์และกรรโชกทรัพย์ นอกจากนี้อาชญากรยังอาจใช้รูปภาพเพื่อแสดงถึงอำนาจและความเชื่อมโยงกับบุคคลที่มีชื่อเสียงด้วย
ภาพที่ถูกปล่อยออกมา ซึ่งเชื่อว่าเพื่อต้องการทำลายล้างทางการเมืองโดยมีเป้าใหญ่คือนายอนุทิน ชาญวีรกูล นี้ ล้วนเป็นภาพเก่าในอดีต และคนที่อยู่ในเฟรมต่างก็คงไม่รู้ว่า“เบน สมิธ” คือ“เครือข่ายสแกมเมอร์ข้ามชาติตัวสำคัญ”
โดยสองภาพที่ถูกปล่อยออกมานั้น ภาพหนึ่งเกิดขึ้นที่สิงคโปร์ในปี 2557 เป็นภาพที่มี พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ นายอนุทินชาญวีรกูล นายอุปกิต ปาจรียางกูร และพล.ต.อ.วิสนุ ปราสาททองโอสถ ร่วมเฟรมในบรรยากาศพบปะทั่วไป ส่วนอีกภาพเป็นภาพของนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ในงานเลี้ยงหลักสูตรผู้บริหารสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งนายเอกนิติถ่ายร่วมเฟรมในฐานะอาจารย์และที่ปรึกษาในหลักสูตรนี้”
อย่างไรก็ตาม นายอนุทิน ชาญวีรกูล ซึ่งโดนเต็มๆ ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 4 ธันวาคมเมื่อวานนี้ โดยผู้สื่อข่าวถามว่า “รู้จักกับนายเบน สมิธ หรือไม่” นายอนุทินตอบว่า “รู้จักๆ แต่ไม่สนิท และภาพที่ปรากฏคือการเจอกันครั้งแรก” ซึ่งผู้สื่อข่าวถามต่อว่า“เจอครั้งนั้นนายเบน สมิธ บอกหรือไม่ว่าทำธุรกิจอะไร” นายอนุทิน ส่ายหน้าและว่า “เป็นคนที่คุยกันในลักษณะเพื่อนของเพื่อนของเพื่อน ถามว่ารู้จักหรือไม่ ก็รู้จัก และหลังจากนั้นก็เจอกันตามงานก็ทักทายกัน”
พร้อมกันนี้นายอนุทิน ชาญวีรกูล ยังได้กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า “สื่อก็เห็นอยู่แล้วว่าภาพดังกล่าวถ่ายเมื่อไหร่” ซึ่งโดยข้อเท็จริงก็คือถ่ายในปี 2557 ในยุครัฐบาล คสช.ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาที่นักการเมืองทุกคนตกงานเพราะไม่มีการเลือกตั้ง และเพื่อเป็นการยืนยันกับสื่อ นายอนุทินได้กล่าวว่า เมื่อวันที่ 3 ธันวาคมที่ผ่านมายังได้ไปแถลงข่าวเรื่องการยึดทรัพย์สแกมเมอร์ และสื่อก็ได้ถามว่าใครมีเส้นมีสาย โดยนายอนุทินได้ย้อนคำตอบให้ฟังว่า “ผมก็พูดชัดเจนว่า หากสาวไปถึงใคร ก็ต้องดำเนินการตามกฎหมายทั้งหมด”
ผู้สื่อข่าวยังได้ถามย้ำนายอนุทิน ชาญวีรกูล ว่า“การปรากฏภาพดังกล่าวเป็นเกมการเมืองหรือไม่” นายอนุทินตอบว่า “แล้วแต่คิด ปกติแล้วผมไม่ได้ติดต่อและไม่ได้มีธุรกิจร่วมกับนายเบน สมิธ และจำไม่ได้หรือที่เขาไม่ได้สัญชาติไทยเสียที” ซึ่งผู้สื่อข่าวถามต่อว่า “เรื่องนี้เป็นเหตุผลที่ทำให้ถูกปลดจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยหรือไม่” นายอนุทินตอบอย่างไม่อ้ำอึ้งทันทีว่า “ใช่ ก็ว่าเป็นหนึ่งสาเหตุในข้อหาที่ผมโดนขอให้ออกจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย แต่ยืนยันไม่ใช่เป็นการปลดจากรัฐบาล ตอนนั้นย้ายให้ผมไปเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข แต่ผมไม่เอา เขาไม่ได้ปลดผมออกจากรัฐบาล ผมถอนตัวเอง”
ผู้สื่อข่าวไม่ลดละ ยังได้ถามต่ออีกว่า “พยายามกู้ภาพรัฐบาลจากปัญหาน้ำท่วม ด้วยการปราบสแกมเมอร์ แต่การปล่อยภาพนี้ออกมาเหมือนพยายามจะดึงลงเหวไปด้วยกัน” นายอนุทิน ชาญวีรกูล กล่าวว่า “คิดวิเคราะห์และแยกเรื่องให้ถูก” และคำถามสุดท้ายผู้สื่อข่าวถามเปรี้ยงตรงประเด็นว่า “ทราบหรือไม่ว่าใครเป็นคนปล่อยภาพดังกล่าวออกมา” นายอนุทินตอบว่า
“รู้หมด-สื่อก็รู้”
เรื่องรูปภาพนี้ไม่เพียงแต่นายอนุทิน ชาญวีรกูล จะร้อนเท่านั้น ทั้งนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ และ “บิ๊กแดง-พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์” อดีตผู้บัญชาการทหารบก ที่ถูกลากดึงเข้าไปอยู่ในวังวนนี้ ก็ยังต้องออกมาชี้แจงด้วยเช่นกันว่าเป็นภาพเก่า โดยเฉพาะ พล.อ.อภิรัชต์ ซึ่งเก็บตัวเงียบมาโดยตลอดหลังลาออกจากตำแหน่ง“รองเลขาธิการพระราชวัง” ถึงกับต้องชี้แจงทางไลน์ส่วนตัวผ่านนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ระหว่างจัดรายการ“กรรมกรข่าว คุยนอกจอ” ว่า
“ผมได้เห็นภาพและขอชี้แจงตามนี้ว่า ภาพแรกเป็นภาพปี 2557 ขณะเรียนหลักสูตร วปอ.และเดินทางไปดูงานที่สิงคโปร์ มีเพื่อนแนะนำให้รู้จักนายเบน สมิธ เป็นนักธุรกิจและมารับประทานอาหาร ซึ่งยังจำได้ว่านายอนุทิน ชาญวีรกูล พูดในตอนนั้นว่าอเมริกันแชร์ คือทุกคนจ่ายค่าอาหารทุกคน ไม่มีใครเลี้ยง”
เรื่องนี้คงต้องบอกว่า “ระเบิดการเมือง”ลูกนี้แม้อานุภาพจะไม่ร้ายแรงเท่ากับทุ่นระเบิดสังหารบุคคล“PMN-2”ของเขมร แต่ก็ทำให้เดือดร้อนไปตามๆ กัน และยังจะเป็นประเด็นร้อนให้ถูกหยิบยกขึ้นมาใส่ร้ายป้ายสีเพื่อทำลายล้างกันในสนามเลือกตั้งหลังยุบสภาฯอีกด้วย !
รุ่งเรือง ปรีชากุล

พร้อมเต็มสูบ! ทัพเทนนิสไทยตั้งเป้าโกย4ทอง
ถล่มอิเหนา8-0!บอลหญิงเฉียบประเดิมซีเกมส์
'วราวุธ'เปิดนิทรรศการอสญฺญกาย-ศิลป์แห่งพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ในมิติร่วมสมัย ที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ
นศ.อาชีวะช่างไฟฟ้า ให้บริการตรวจสอบ-ซ่อมแซมระบบไฟฟ้าบ้านน้ำท่วม แล้วกว่า 300 ครัวเรือน
เคลื่อนไหวรัวๆ เดย์ ไทเทเนี่ยมโพสต์คำคมปริศนา ท่ามกลางดราม่านานา

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี