วันจันทร์ ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2568
การเมืองไทยมันน้ำเน่า นักการเมืองมันน่าเบื่อ ประชาชนส่วนใหญ่จึงดีใจที่เห็นคนนอกเข้ามาเป็นรัฐมนตรี
(เห็นมีคุณชูวิทย์ แล้วก็ด้อมส้มที่ออกมาด้อยค่าคุณศุภจี ก่อนหน้านี้)
พอทำงานไปแล้ว ผลงานออกมาดีซะอีก ไม่ว่าจะเป็นคุณศุภจีดร.เอกนิติ หรือ คุณสีหศักดิ์
ทั้งคนละครึ่งพลัส ทั้งการเดินหน้าเศรษฐกิจระยะสั้น ระยะกลาง ทั้งการขายข้าว ขายมัน การวางแนวทางการค้าพาณิชย์ของประเทศในแบบที่ดีเกินคาด การต่างประเทศ ฯลฯ
ทำงานผ่านมา 2 เดือนกว่า ได้ขนาดนี้ คนจำนวนมากก็อยากจะเห็นทำงานจนครบ 4 เดือน จะเป็นอย่างไร ?
แล้วถ้ามีโอกาสทำงานเต็มๆ แบบ 4 ปี จะเป็นอย่างไร?
แต่ล่าสุด ปรากฏว่า การเมืองฝ่ายค้านก็ฮึ่มๆ จะล้มรัฐบาลซะแล้ว
1. พรรคเพื่อไทยยังกั๊กว่าจะยื่นขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจหรือไม่ เมื่อไหร่?
แต่ออกมาขย่ม ตีรัฐบาลว่าจะยุบสภาหนีอภิปรายไม่ไว้วางใจ ?
เอาจริงๆ รัฐบาลชุดนี้ ทุกคนทราบว่าเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย
ถ้าฝ่ายค้านยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ มันก็คือบีบให้ต้องวิ่งไปขอเสียงสนับสนุน ซึ่งฝ่ายค้านก็ต้องเรียกร้องผลประโยชน์ทางการเมืองบางอย่างแลกเปลี่ยน
แล้วดูพรรคใหญ่ฝ่ายค้านปัจจุบัน ต้องการอะไรกันบ้าง
บางพรรค ต้องการแก้รัฐธรรมนูญทุกหมวด รวมหมวด 1 หมวด 2ต้องการนิรโทษกรรมคดี 112 แถมเคยขู่ว่าเลือกอนุทินมาเป็นนายกฯเพื่อยุบสภา ไม่ใช่ให้มาทำคนละครึ่ง ไม่ใช่ให้มาบริหารประเทศ
บางพรรค ต้องการให้นายใหญ่รอด หลังโดนยับ ทั้งคดี 112 ทั้งภาษี 1.7 หมื่นล้านบาท
นายกฯอนุทินมีไทม์ไลน์ประกาศไว้แล้วว่าจะยุบสภาไม่เกินปลายม.ค. เดือนหน้านี่เอง
คำถาม คือ ทำงานมา 2 เดือนกว่า มีเหตุจำเป็นเร่งด่วนถึงขนาดต้องรีบอภิปรายไม่ไว้วางใจ หรือต้องการเอาเสียงข้างมากฆ่าตัดตอนรัฐบาล หรือต้องการบีบต่อรองอะไรบางอย่าง?
ถ้าแบบนี้ รัฐบาลจะยอมให้มาต่อรองผลประโยชน์ทางการเมือง หรือยุบสภาไปเสียเลย?
ไม่แปลกใจ นายกฯ อนุทินจึงพูดไว้เป็นนัยทำนองว่า ถ้ายื่น ก็ยุบ ไม่ต่อรอง (แต่อะไรที่ทำไม่เสร็จ ก็จะมาโทษกันไม่ได้)
2. จะไปหาว่ารัฐบาลหนีการตรวจสอบ นายกฯอนุทินก็พูดไว้ชัดว่า ถ้ายื่นตรวจสอบอภิปรายทั่วไปแบบไม่ต้องลงมติ พร้อมให้ด่า พร้อมให้ชำแหละเต็มที่ พร้อมอธิบายชี้แจง แต่ถ้าจะลงมติเพื่อคว่ำรัฐบาล ไม่ต้องลงมติก็รู้ว่าฝ่ายค้านชนะแน่ ก็ขอใช้สิทธิอำนาจนายกฯก่อนเลยละกัน
ถ้าจะพูดถึงการยุบสภาหนีการตรวจสอบ ต้องย้อนไปดูสมัยรัฐบาลทักษิณ ต้นปี 2549
ช่วงนั้น มีประเด็นขายหุ้นชินฯ มีการชุมนุมของประชาชน ฝ่ายค้านเสนอขออภิปรายตรวจสอบกันในสภา โดยที่สภาเวลานั้นพรรคไทยรักไทยยึดกุมเสียงข้างมากเบ็ดเสร็จ ยกมือกี่รอบก็ชนะแน่นอน แต่ไม่แน่ว่าถ้าอภิปรายแล้วจะมีความจริงปรากฏออกสู่วงกว้างอย่างไรบ้าง ในที่สุด นายกฯทักษิณก็ชิงยุบสภา 24 ก.พ. 2549 กะเอาการเลือกตั้งฟอกขาวทางการเมืองแทน
หลังจากนั้น ทั้งกรณีทักษิณร่ำรวยผิดปกติ ยึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้านบาท กรณีภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จำนวน 1.76 หมื่นล้านบาท ค่อยปรากฏตามมา
3. ล่าสุด รัฐบาลประกาศสงครามกับสแกมเมอร์ ปปง.ยึดทรัพย์หมื่นล้านบาท
ปฏิบัติการ “ถอนรากสแกมเมอร์ข้ามชาติ” เปิดปฏิบัติการครอบคลุมถึง 50 จุดใน 22 จังหวัดทั่วประเทศ
ออกหมายจับเครือข่ายทั้งหมด 42 ราย สามารถจับกุมได้แล้ว 29 ราย และอยู่ระหว่างติดตามอีก 13 ราย
แต่ถูกดิสเครดิตโดยฝ่ายการเมือง ด้วยการนำภาพถ่ายเก่ามาปั่นกระแส พุ่งเป้าดิสเครดิตนายกฯอนุทิน และนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกฯ และ รมว.คลัง
ในความเป็นจริง ข้อมูลทางการ ปปง. ที่ยึดทรัพย์หมื่นกว่าล้านบาท เขายืนยันทำตามนโยบายรัฐบาล พร้อมให้เครดิตนายกฯอนุทิน
แต่ฝ่ายที่ต้องการดิสเครดิต หวังผลประโยชน์ทางการเมือง พยายามเอาภาพเก่ากว่า 10 ปีมาปั่น
หวังทำลายนายกฯ พ่วงไปกับ รมต.คลัง ซึ่งมีชื่อจะเป็นแคนดิเดตนายกฯอีกคนด้วย
(จำได้ไหม ลุงตู่ก็เคยถูกเอารูปถ่ายร่วมเฟรมกับทักษิณ อุ๊งอิ๊งค์ มาปั่นดิสเครดิต)
ของจริง คือ ใครไม่ให้สัญชาติเบน สมิธ? ใครเพิกถอนสัญชาติ ยิม เลียก-ก๊ก อาน?
ใครให้ยึดทรัพย์เครือข่ายหมื่นล้าน?
ออกหมายจับ ยิม เลียก-ก๊ก อาน (เบนยังไม่มีหมายจับ และแม้แต่กระทรวงยุติธรรมสหรัฐก็ยังไม่มีหลักฐานทำอะไร เบน สมิธ ส่วนที่มีชื่อในลิสต์นั่นคือลิสต์ที่ สส.สหรัฐทำเอง ไม่ใช่กระทรวงยุติธรรมสหรัฐ)
น่าคิดว่า ใครกำลังเสียประโยชน์?
ขณะเดียวกัน ฝ่ายค้าน พรรคส้ม ที่ผ่านมา เอาแต่ปั่นดิสเครดิต อ้างมีรายชื่อแต่ก็ไม่เปิดชื่อ ไม่ได้เอาหลักฐานไปยื่นให้ดำเนินคดีอะไรเลย อ้างว่าให้เราเป็นรัฐบาลสิถึงจะจัดการได้
.png)
มาวันนี้ กลับพยายามเคลมเอาหน้าแบบมึนๆ
ทั้งๆ ที่ ตรรกะส้ม คือ ต้องให้ส้มเป็นรัฐบาลจึงจะจัดการได้ พอรัฐบาลปัจจุบันลงมือจัดการได้เอง ส้มกลับจะมาเคลมว่าเป็นผลงานตน !!!
4. พรรคเพื่อไทยแย้มๆ ชื่อแคนดิเดตนายกฯออกมา (มีชื่อลูกเจ๊แดงด้วย) แต่ก็ยังไม่ปัง
ก่อนหน้านี้ พรรคประชาชน (พรรคส้ม) เปิดตัว 3 แคนดิเดตนายกฯ ประกอบด้วย 1.นายณัฐพงษ์ หัวหน้าพรรค2.น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล และ 3.นายวีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร รองหัวหน้าพรรคฝ่ายยุทธศาสตร์
ผลออกมาก็ไม่ปัง
ทั้งสามคน ล้วนแต่ยังไม่เคยมีประสบการณ์ ไม่มีผลงานโดดเด่นในการแก้ปัญหาจริงในทางปฏิบัติ
ยิ่งเมื่อเทียบกับชื่อแคนดิเดตนายกฯของพรรคภูมิใจไทย ยิ่งกลายเป็นโจทย์ยากหลังจากนี้ จึงต้องพยายามปั่นกระแสอย่างหนัก
5. การทำงานของรัฐมนตรีคนนอก ในรัฐบาลนายกฯ อนุทิน เป็นที่น่าประทับใจ
ยกตัวอย่าง คุณศุภจี สุธรรมพันธุ์ ได้เปิดเผยว่า ทำอะไรไปแล้ว กำลังทำอะไร แล้วจะทำอะไรต่อ บางส่วน ดังนี้
“...โมเดลความคิดที่ว่า คิดให้ใหญ่ ทำจากจุดเล็กๆ สามารถนำมาใช้ในการบริหารจัดการในตำแหน่งรัฐมนตรีได้เลยนะคะ เวลาที่เรากำหนดนโยบายใดๆ เราต้องมองให้ครบทุกมิติ มองให้รอบด้าน มองทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว รวมถึงมองให้ครบทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่เราจะทำ อย่างถ้าเราพูดถึงการส่งออกหรือนำเข้าสินค้า ก็ต้องมองถึงส่วนที่เชื่อมโยงกันเป็นห่วงโซ่อุปทานทั้งหมดด้วยค่ะ
ตัวอย่างของการใช้โมเดลนี้คือการช่วยเกษตรกรให้ปรับวิธีการผลิต เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของตลาดได้มากขึ้นนะคะ เราไม่ได้บอกให้เกษตรกรเปลี่ยนวิถีการปลูกทั้งหมดเลย เพราะมีพื้นที่หลายสิบล้านไร่ ซึ่งเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว แต่เราอาจจะเริ่มจากจุดเล็กๆ เช่น การแนะนำให้ปลูกพืชท้ายไร่ หรือพืชทดแทนบางส่วน เพื่อที่จะเพิ่มผลผลิตต่อไร่และหาตลาดรองรับให้เขาด้วยค่ะ
...นโยบายข้าวที่พยายามผลักดันตอนนี้คือการเจาะลงไปที่พื้นที่ที่เหมาะสม และมีการหาตลาดรองรับให้เกษตรกรควบคู่กันไป วิธีนี้แตกต่างจากอดีตที่รัฐบาลมักจะเน้นการสนับสนุนเงินช่วยเหลือโดยตรง เช่น เคยมีการช่วยสนับสนุนไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกิน 10 ไร่ต่อครัวเรือน เพื่อช่วยพยุงราคาเนื่องจากสต๊อกข้าวออกมาเยอะ และต้นทุนการผลิตสูง
การช่วยเหลือแบบเดิมไม่ได้แก้ปัญหาเรื่องวิธีการเพิ่มผลผลิตที่ช่วยให้มีราคาสูงขึ้นต่อไร่ แต่ในการประชุมคณะนโยบายข้าว (นบข.) ได้ให้เงินช่วยเหลือไร่ละ 2,000 บาท แต่มีเงื่อนไขว่าต้องปรับพื้นที่บางส่วน โดยจำกัดไม่เกิน 10 ไร่ นี่คือการให้แรงจูงใจ (incentive) ที่กระตุ้นให้เกษตรกรอยากปรับอยากเปลี่ยน เพื่อไม่ให้พวกเขาต้องปลูกข้าวที่มีต้นทุนสูงแต่ราคาถูกอยู่เรื่อยไป
การสนับสนุนการปรับเปลี่ยนพื้นที่ปลูกนี้ตั้งเป้าไว้ประมาณ1 ล้านไร่ เพื่อเป็นโครงการนำร่อง เราไม่ได้ต้องการให้ทุกคนเลิกปลูกข้าว แต่เป็นการสนับสนุนให้เขาลองทำสิ่งใหม่ที่สามารถเพิ่มผลผลิตต่อไร่ได้ ที่สำคัญคือเรามีทั้งตลาดรองรับ และมีการเจาะพื้นที่ทำเหมือนโซนนิ่ง เพื่อให้แน่ใจว่าพื้นที่นั้นเหมาะสมกับการปลูกพืชประเภทที่ต้องการจริงๆ ค่ะ
ในช่วง 120 วันที่รับตำแหน่ง กระทรวงพาณิชย์ได้กำหนดตัวชี้วัดกิจกรรมที่ต้องทำให้ได้สำเร็จ มีโครงการที่เรียกว่า Quick Big Win ซึ่งประกอบด้วย 7 นโยบายหลัก เรามีการจัดทำกว่า 20 โครงการ และ 80 กว่ากิจกรรม และมีการวัดผลการทำงานเป็นรายสัปดาห์ ตั้งแต่อาทิตย์แรกของเดือนตุลาคมไปจนครบ 120 วัน เพื่อประเมินผลการทำงานอย่างสม่ำเสมอค่ะ
สำหรับความสำเร็จในระยะสั้น การทำสัญญาซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐถือเป็นสิ่งที่เราตั้งใจทำและทำได้ตามเป้าหมาย อย่างการทำ Food Security กับสิงคโปร์เป็นครั้งแรกจำนวน 100,000 ตัน หรือการปิดดีลกับจีนอีก 500,000 ตัน ซึ่งแม้จะยังไม่ได้เซ็นสัญญาอย่างเป็นทางการ แต่ก็ได้มีการปิดดีลแล้ว
การเซ็นสัญญาเหล่านี้ส่งสัญญาณที่ดีให้กับตลาดค่ะ เพราะข้าวถือเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ (commodity) เมื่อตลาดรับรู้ว่าข้าวไทยกำลังจะถูกทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ราคาข้าวก็จะขยับตัวสูงขึ้น ตั้งแต่เซ็นสัญญามาจนถึงวันนี้ ราคาข้าวเปลือกหอมมะลิสูงขึ้นกว่า 1,000 บาทต่อตัน ส่วนข้าวสารขาวธรรมดาก็สูงขึ้นประมาณ 300-400 บาทต่อตันค่ะ...
ตัวอย่างเช่น สัญญา Food Security กับสิงคโปร์ 100,000 ตัน เราไม่ได้เซ็นกับกระทรวงพาณิชย์ของเขา แต่เซ็นกับกระทรวงสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน (Sustainability and Environmental) ซึ่งเป็นบริบทใหม่ที่ประเทศหลายประเทศกำลังมองหาความมั่นคง และเรากำลังพยายามพัฒนาโมเดลนี้ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ในการพัฒนาโมเดล Food Security เรากำลังทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดกับหลายสถาบัน รวมถึงองค์กรระดับโลก เช่น World Bank และ Asian Development Bank เพื่อหารูปแบบที่เหมาะสมที่สุด แนวคิดนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ข้าวเท่านั้น แต่หลังจากการเจรจาเรื่องข้าวกับสิงคโปร์ เราก็มีการคุยกันต่อถึงเรื่องเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อหมูและเนื้อไก่ด้วยค่ะ
สำหรับสถานการณ์การเจรจาเกี่ยวกับมาตรการทางภาษีตอบโต้ (TR) ของสหรัฐอเมริกา เฟรมเวิร์กเดิมที่ตกลงไว้คือเราได้ภาษีที่ 19% ตอนนี้เรากำลังอยู่ในช่วงเจรจาเรื่องมาตรการที่ไม่ใช่ภาษีที่เรียกว่า Art-Tex หรือ Agreement of Reciprocal Trade Text ซึ่งถ้าเราเจรจาเรื่องนี้สำเร็จ เราจึงจะสามารถมาใช้สิทธิประโยชน์ภาษีเป็นศูนย์ (Exem) ในภาคผนวก 3 (Annex 3) ได้ค่ะ
ใน Annex 3 มีสินค้าที่ยกเว้นภาษีรวม 1,900 รายการ แต่สินค้าที่เราสามารถใช้ได้จริงๆ ตอนนี้มีเพียงประมาณ 800 รายการเท่านั้นเองนะคะ คณะเจรจาจึงพยายามอย่างยิ่งที่จะทำให้มาตรการ Art-Tex สามารถพยุงสิทธิประโยชน์ของประเทศและผู้ประกอบการได้มากที่สุด และพยายามเพิ่มรายการสินค้าใน Annex 3 ให้ตอบโจทย์ผู้ประกอบการไทย
กลยุทธ์ของเราตอนนี้คือดีที่เรายังไม่รีบเซ็นข้อตกลง Art-Tex เรากำลังรอดูว่าประเทศอื่นในย่านเดียวกัน เช่น มาเลเซีย กัมพูชา และอินโดนีเซียที่กำลังจะเซ็น เขาตกลงเงื่อนไขอะไรกันไว้บ้าง เราตั้งใจว่าอย่างน้อยข้อตกลงของเราต้องไม่ด้อยกว่าเขา เพื่อให้เรายังแข่งขันได้ในกลุ่มประเทศเดียวกันค่ะ....” สรุปโดยเพจ MaggieF8
5. ปรากฏการณ์รัฐมนตรีคนนอก
Thailand FACT Today มองปรากฏการณ์รัฐมนตรีคนนอกฟีเวอร์ไว้อย่างน่าสนใจ ระบุว่า
“ความไม่สิ้นหวัง ว่าด้วยเรื่อง “ยุบสภาก่อน 31 มกราคม”…
ถ้ามันเกิดขึ้นจริง
มันไม่ใช่เรื่องว่าใครหนีซักฟอก แต่มันเป็นไฟท์บังคับ ของรัฐบาล ที่ปฏิบัติตามคำมั่น จนกลายเป็น “เสียงข้างน้อย”
แน่นอน เมื่อฝ่ายหนึ่งเล่นการเมือง
อีกฝ่าย ก็ต้องแก้เกม และการยุบสภาเร็วกว่ากำหนด คือ คำตอบ
และเมื่อวันนั้นมาถึง สิ่งหนึ่งที่คนไทยจะย้อนมองกลับไปพร้อมกัน คือ
ในเวลาเพียง 2 เดือน รัฐบาลชุดนี้ทำให้เราได้เห็น “ความเป็นไปได้ใหม่ๆ” ของการเมืองไทย
เราได้เห็นว่า…
** ถ้านักการเมือง “เอาจริง” เขาก็เลือกคนเก่งมาเป็นรัฐมนตรีได้เหมือนกัน **
เอกนิติ — สีหศักดิ์ — ศุภจี คือ หลักฐานว่า ประเทศไทย“ไม่เคยขาดคนเก่ง”
เราแค่ไม่เคยมีรัฐบาลที่กล้าเลือกพวกเขาเข้ามาทำงานจริงจังแบบนี้มาก่อน
รัฐบาลนี้ทำให้เราเห็นว่า — เราสามารถมีนายกฯ ที่คิดเองเป็น ทำงานเองได้ และสง่าผ่าเผยบนเวทีโลกอย่างแท้จริง
ที่ผ่านมา เราเคยเชื่อว่าเมื่อมีอำนาจ นักการเมืองก็จะดึงแต่พวกพ้องเครือญาติ หรือกลุ่มผลประโยชน์ เข้ามานั่งเก้าอี้หลักๆ ของประเทศ
ทำบ้าง–ไม่ทำบ้าง สนแต่ผลประโยชน์เฉพาะหน้า ปล่อยความหวังของคนไทยให้ร่วงลงพื้น
แต่รัฐบาลชุดปัจจุบันทำให้เห็นแล้วว่า— ภาพนั้น “ไม่จำเป็นต้องเป็นแบบนั้นเสมอไป”
มันยังมีหนทางให้คนเก่ง คนดี ได้ลุกขึ้นมาช่วยบ้านเมือง
และทำให้ประชาชนรู้สึกว่า “ประเทศนี้ยังไปต่อได้”
เราคุ้นชินกับนายกฯ ที่เดินทางต่างประเทศแบบพิธีกรรม
ไปถึงก็จับมือ–ถ่ายรูป–กลับบ้าน
ผลลัพธ์คือ 0
แต่รัฐบาลนี้พิสูจน์ให้เห็นว่า— ถ้าทำเป็น… การไปต่างประเทศ คือการเปิดตลาดไทยระดับโลก
คือ การขายสินค้าไทยแบบ Professional
คือ การยืนอย่างมีศักดิ์ศรีบนเวทีการค้าและการทูต
และมันต้องใช้ ประสบการณ์ และ ความกล้า ในแบบที่ผู้นำไม่กี่คนทำได้
ใครจะคิดว่าเราจะมีผู้นำที่ “กล้าขอ” ผู้นำจีนซื้อข้าวจากไทยตรงๆ
หรือมีนายกฯ ที่กล้าบอกสหรัฐว่า “ขอบคุณ… แต่อย่ามายุ่งเรื่องภายในของเรา”
จนมหาอำนาจต้อง “เป็นฝ่ายโทรหาไทย”
และในเวลาเดียวกัน ไทยก็ยังได้ต่อรองภาษีในแบบที่ต้องการ —
นี่ไม่ใช่เรื่องธรรมดาเลย
ชายแดน–การทูต–การค้า
ไทยยืนหลักการชัดเจน
“อีกฝ่ายไม่ทำตามปฏิญญา เราก็ระงับ”
แต่ไทยไม่เสียอำนาจต่อรอง ไม่เสียผลประโยชน์ และไม่เสียศักดิ์ศรี
พร้อมกันนั้น เราก็มีรัฐมนตรีพาณิชย์ที่ทำงานเชิงรุก เปิดตลาดทุกทิศ เจรจากับต่างประเทศ เพื่อสร้างทางเลือกใหม่ให้การค้าไทยในอนาคต ไม่ปล่อยให้ประเทศรอให้สถานการณ์บีบจนจนมุม
และเรายังได้เห็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่มาพร้อมนโยบาย “ง่าย–ตรง–ได้ผลจริง”
ต่างจากอดีตรัฐบาลที่ประกาศโครงการใหญ่โต แต่ทำไม่ได้จริง
วันนี้เรากลับเห็นมาตรการที่ “เงินถึงมือประชาชนจริง”
และเศรษฐกิจเดินหน้าแบบจับต้องได้
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพียง ไม่กี่เดือน
เพราะฉะนั้น… ถ้ายุบสภาก่อน 31 มกราคมจริง
อย่างน้อยที่สุด — รัฐบาลชุดนี้ได้พิสูจน์ให้คนไทยเห็นแล้วว่า ประเทศนี้… ยังไม่สิ้นหวัง
และถ้าเราได้เดินต่อบนเส้นทางนี้จริงๆ
ประเทศไทย…
จะกลับมายืนตรงอย่างสง่างามได้อีกครั้ง”
สุดท้าย... ถึงวันที่นักการเมืองพรรคใหญ่ฝ่ายค้านฮึ่มๆ จะไล่-จะล้มรัฐบาล
คำถามสำหรับคนที่ต้องการเห็นการทำงานบนมาตรฐานเพื่อประเทศชาติ มิใช่เพื่อญาติ เพื่ออังเคิล หรือเล่นการเมืองใช้วาทกรรม เพื่อเซาะกร่อนบ่อนทำลาย ฯลฯ
ทำอย่างไร ให้คนทำงานดี ได้มีโอกาสทำงานต่อ?
มิใช่วนกลับไปสู่วงจรวาทกรรมการเมืองแบบเดิมๆ อีก
สันติสุข มะโรงศรี

ภท.มาแรงอันดับ1 โพลชี้กระตุ้นศก.ได้ดีที่สุด
4จว.ใต้ยังท่วม ประชาชนเดือดร้อน2.2แสนคน ปภ.โอนเยียวยาอีก286ล้าน มท.ขันนอตฟื้นฟูหาดใหญ่
ยิงสนั่น‘ภูผาเหล็ก’จังหวัดศรีสะเกษ ‘ไทย-เขมร’เดือด กัมพูชาเปิดฉากซัดก่อน
‘อะแมนดา ไซเฟร็ด’ลั่น ‘บทแซ่บสุดตั้งแต่ Mean Girls!’ ปะทะ “ซิดนีย์ สวีนีย์
รบ.โวซีเกมส์ฉลุย คนดังแห่ร่วมพิธีเปิด ยังอุบไต๋คนจุดคบเพลิง

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี