วันจันทร์ ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2568
วันที่ 10 ธันวาคมมะรืนนี้ จะเป็นวันครบรอบ 93 ปีที่ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญฉบับถาวรใช้เป็นกฎหมายสูงสุด ซึ่งมีมาแล้วทั้งหมด 20 ฉบับ โดยฉบับแรกประกาศใช้เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2475 และฉบับปัจจุบันประกาศใช้เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2560
และฉบับที่ใช้ในปัจจุบันนี้ นักการเมืองและพรรคการเมือง ในฐานะ สส. กำลังประชุมสุมหัวจะฉีกทิ้งและยกร่างฉบับใหม่ขึ้นมา เพื่อสนองประโยชน์ของตนเองในการเข้าสู่อำนาจและรักษาอำนาจ โดยที่ประชาชนไม่ได้ประโยชน์อะไร นอกจากมีแต่จะเสียประโยชน์ เนื่องจากรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ได้ชื่อว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับ“ปราบโกงนักการเมือง”
โดยในวันที่ 10 ธันวาคมมะรืนนี้ รัฐสภาจะมีการประชุมสมัยวิสามัญ เพื่อพิจารณาลงมติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระ 2 หลังจากได้ผ่านวาระแรกเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2568 ซึ่งในวาระแรกที่ประชุมได้มีมติรับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคประชาชน กับของพรรคภูมิใจไทย และให้ใช้ร่างของพรรคประชาชนเป็นหลัก
อย่างไรก็ตาม ในเบื้องต้นนี้จากการแปรญัตติของคณะกรรมาธิการวิสามัญแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีนายณัฐวุฒิ บัวประทุม สส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาชน เป็นประธาน ได้เห็นชอบต่อการกำหนดที่มาของคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ จำนวน 35 คน โดยมีที่มาจากการสมัครของประชาชน ผ่านคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และผู้สมัครต้องมีประชาชนรับรองอย่างน้อย 100 รายชื่อ พร้อมกับต้องมีเอกสารแสดงวิสัยทัศน์ และอุดมการณ์ความยาว 1 หน้ากระดาษ A4
นอกเหนือจากนั้น เมื่อรับสมัครแล้ว จะต้องมีการนำข้อมูลของผู้สมัครเผยแพร่ให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการตรวจสอบประวัติและอุดมการณ์ จากนั้นให้ส่งรายชื่อดังกล่าวให้สมาชิกรัฐสภา คือ สส. และ สว.คัดเลือก ตามโมเดล“20 คนหยิบ 1 คน” อันเป็นการ“เลี่ยงบาลี”จากคำวินิฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2568 ซึ่งระบุว่า“การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ รัฐสภาไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้โดยตรง”
ส่วนกรอบเนื้อหาของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่จะมีการยกร่าง จะมีการ“เคาะ”กันระหว่างการอภิปรายแปรญัติเป็นรายมาตราในวาระ 2 นี้ โดยมีหลักการทั้งหมด 9 ข้อ ซึ่งไม่มีการแตะ“หมวด 1 บททั่วไป” และ“หมวด 2 พระมหากษัตริย์” ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการวิสามัญแก้ไขรัฐธรรมนูญกำหนดเงื่อนไขไว้ชัดเจนว่า ให้นำข้อความทุกมาตราของทั้ง 2 หมวดในรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 มาบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยไม่ให้มีการแก้ไข
สำหรับหลักการอื่นๆ นอกเหนือจากหมวด 1 และหมวด 2 ที่จะมีการบัญญัติในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ก็เป็นภาพกว้างๆ ตามสูตรสำเร็จที่ไม่เคยเห็นว่าสามารถปฏิบัติได้จริง และรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ที่กำลังจะถูกฉีกทิ้งก็มีบัญญัติไว้อยู่แล้ว
อาทิเช่น การวางกลไกที่มีประสิทธิภาพ การตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ ในการป้องกันและขจัดการทุจริตและการประพฤติมิชอบ การใช้อำนาจโดยมิชอบ และผลประโยชน์ทับซ้อน, การสร้างเสริมความเข็มแข็งของนิติธรรมและหลักธรรมาภิบาล รวมถึงการบังคับใช้กฎหมายอย่างเสมอภาค และการบริหารราชการแผ่นดินและการขับเคลื่อนนโยบายรัฐที่ยืดหยุ่น คล่องตัว และตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงและความต้องการของประชาชน โดยกำหนดให้มีเรื่องการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ฯลฯ
จะอย่างไรก็ตามแต่ การประชุมของสมาชิกรัฐสภาในวาระ 2 ดังกล่าว ระหว่างวันที่ 10-11 ธันวาคมนี้ หลังจากลงมติผ่านพ้นแล้ว จะต้องรอให้พ้นกำหนด 15 จึงจะลงมติในวาระ 3 ต่อได้ ซึ่งถ้าหากผ่านมติเห็นชอบในวาระ 2 ในวันที่ 11 ธันวาคม เร็วที่สุดจะลงมติวาระ 3 ได้ ก็คือวันที่ 29 ธันวาคม 2568 แต่ถึงกระนั้น ปรากฏว่ามีสมาชิกรัฐสภาบางส่วนเห็นว่า น่าจะไปลงมติวาระ 3 หลังผ่านพ้นเทศกาลปีใหม่ไปแล้ว ขณะที่พรรคประชาชนเห็นแย้งว่า ควรจะลงมติวาระ 3 ให้เสร็จสิ้นภายในปีนี้
ทั้งนี้ นายณัฐวุฒิ ณัฐวุฒิ บัวประทุม จากพรรคประชาชน กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า หากเลื่อนไปลงมติวาระ 3 หลังปีใหม่ จะทำให้การพิจารณาคำถามประชามติของคณะรัฐมนตรีต้องช้าออกไปอีก ซึ่งอาจจะกระทบกรอบ“MOA” ที่ได้มีการตกลงกันไว้ จึงอยากให้ทุกอย่างจบก่อนปีใหม่ โดยนายณัฐวุฒิย้ำว่า “แม้จะต่างเพียงสัปดาห์เดียว แต่การเปิดประชุมก่อนปีใหม่กับหลังปีใหม่ มีผลต่อระยะเวลาในการตั้งคำถาม และการเตรียมทำประชามติ เพื่อเผยแพร่ให้ประชาชนเข้าใจก่อนไปลงมติ”
ถ้าอ่านเกมของพรรคประชาชน ก็พอจะมองได้ว่า พรรคประชาชนนั้นลมหายใจเข้าออกและในหัวสมองมีแต่เรื่องการฉีกทิ้งรัฐธรรมนูญฉับนี้ เพื่อต้องการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เรื่องอื่นโดยเฉพาะปัญหาของประเทศประชาติและประชาชน พรรคประชาชนไม่เคยให้ความสำคัญเลยแม้แต่น้อย
ทั้งปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนอันเกิดจากมหาอุทกภัยในภาคใต้ และปัญหาพิพาทชายแดน“ไทย-กัมพูชา”ที่ยังคุกรุ่นด้วยไฟสงคราม ซึ่งเมื่อวันที่ 7 ธันวาคมนี้ก็เพิ่งจะมีการปะทะเดือด ที่ “ภูผาเหล็ก-พลาญหินแปดก้อน” จังหวัดศรีสะเกษ ทำให้ทหารไทยบาดเจ็บ 2 นาย และมีแนวโน้มว่าสถานการณ์จะรุนแรงขึ้นและขยายเป็นวงกว้าง จึงได้มีการอพยพประชาชนใน 4 จังหวัดชายแดนตลอดแนว คือศรีสะเกษ, บุรีรัมย์, สุรินทร์ และอุบลราชธานี ไปยังศูนย์พักพิงตามแผนอพยพแล้วหลังเกิดเหตุปะทะ
ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็เพราะพรรคประชาชนคงเห็นว่า ขืนปล่อยให้รัฐบาลชุดนี้ที่มีนายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรี ได้มีโอกาสบริหารประเทศเนิ่นนานต่อไป พรรคภูมิใจไทยซึ่งจะเป็นคู่แข่งในการเลือกตั้ง ก็จะยิ่งสร้างผลงานและโกยคะแนนนิยมจากประชาชนได้มากยิ่งขึ้น เพราะถ้าหากวาระ 3 ผ่านพ้นภายในสิ้นปีนี้ ก็ถือว่าหมดห่วงเรื่องรัฐธรรมนูญ พอเริ่มศักราชใหม่ปีหน้าก็สามารถเร่งกดดันให้นายอนุทินยุบสภาฯได้ทันที เรียกว่ายิ่งเร็วยิ่งดี ไม่ต้องให้ถึงวันที่ 31 มกราคม 2569 ตามไทม์ไลน์ของ“MOA”
แต่ถึงกระนั้น ยังมีอีก 2 ด่านที่การ“ฉีกทิ้ง”รัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ที่เป็นคุณกับประชาชนแต่เป็นยาพิษของนักการเมือง จะไม่ประสบผลสำเร็จ นั่นก็คือ ด่านแรกถูกคว่ำโดยสมาชิกรัฐสภาในวาระ 3 ด้วยมีเสียงเห็นชอบไม่เกินกึ่งหนึ่งของสมาชิกรัฐสภา หรือเสียงโหวตเห็นชอบของ สว.น้อยกว่า 1 ใน 3 ของจำนวน สว.ทั้งหมด และถ้าหากไม่ถูกคว่ำในวาระ 3 นี้ ก็ยังมีด่านสุดท้าย คือ ประชาชนต้องไปลงประชามติไม่เห็นชอบที่จะให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
บรรทัดนี้ก็ต้องส่งเสียงถามประชาชน 16.82 ล้านเสียงซึ่งเป็นผู้สถาปนารัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 จากการลงประชามติเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2559 ว่า“ยังสบายดีหรือเปล่า” !
รุ่งเรือง ปรีชากุล

หนุ่มเมาขับเก๋งขึ้นบนทางรถไฟ อ้างขับตามจยย. กู้ภัยฯชาวบ้านช่วยวุ่น
ด่วน!!!‘เขมร’ยิงBM-21 ลงพื้นที่บ้านเรือนประชาชนฝั่งไทย‘บ้านสายโท 10’จ.บุรีรัมย์
ส่งกำลังใจพี่น้องทหาร! 'วรงค์'ย้ำไทยไม่เคยยอมรับ'แผนที่1ต่อ2แสน'
ปรับกฎซื้อหุ้นคืน บริษัทมหาชนจำกัด เพิ่มความคล่องตัวในการบริหารทุน
‘เขมร’ล็อกเป้าสนามบินบุรีรัมย์-รพ.ปราสาท สุรินทร์ เศร้าชาวบ้านเสียชีวิต 1 รายระหว่างอพยพ

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี