ปัญหากัมพูชาก่อสงครามรุกรานไทย ยืดเยื้อมาจนถึงวันนี้ตั้งแต่เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคมที่ผ่านมา ที่กัมพูชาเปิดฉากถล่มปืนใหญ่ และจรวดหลายลำกล้อง“BM21”โจมตีเป้าหมายพลเรือนในฝั่งไทยอย่างต่อเนื่อง ในพื้นที่ 4 จังหวัดที่ติดชายแดนไทย-กัมพูชา คือ สุรินทร์, ศรีสะเกษ, บุรีรัมย์และอุบลราชธานี เป็นเวลาเกือบ 3 เดือน สถานการณ์ก็ยังไม่นิ่ง และยังมองไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ โดยเฉพาะที่บ้านหนองจาน และบ้านหนองหญ้าแก้วจังหวัดสระแก้ว ที่กำลังมีปัญหาอยู่ในเวลานี้
เหตุผลประการสำคัญก็เพราะ กัมพูชาไม่ยอมหยุด ขาดความจริงใจที่จะทำให้เกิดสันติภาพอย่างแท้จริง เห็นได้จากการละเมิดทุกข้อตกลงที่ได้ลงนามร่วมกัน ซึ่งแม้แต่ข้อตกลง“13 ข้อ”จากการประชุม “GBC”ระดับรัฐมนตรีกลาโหม เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม2568 ที่ประเทศมาเลเซีย วันนี้ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า กัมพูชาไม่เคารพข้อตกลงใดๆ ทั้งสิ้น ยังละเมิดและคุกคามไทยในทุกๆ ทางอยู่ตลอดเวลา
ทั้งการเคลื่อนกำลังทางทหาร การปลุกระดมมวลชนให้มายยั่วยุท้ายและเผชิญหน้ากับทหารไทย และการสร้างข่าวสร้างภาพบิดเบือนป้ายสีประเทศไทย
ขณะเดียวกัน ชาติมหาอำนาจทั้งสองฝั่ง คือ..สหรัฐอเมริกา และจีน ก็ยังเข้ามายุ่มย่ามอีก ภาษาชาวบ้านเรียกว่า“เข้ามาเสือก” จึงทำให้การแก้ปัญหาแบบทวิภาคีของสองประเทศ ระหว่างไทยกับกัมพูชายุติได้ยาก เพื่อให้เกิดสันติภาพอย่างถาวร บนพื้นฐานของความจริงใจ ซึ่งแทนที่จะง่าย ก็ยิ่งซับซ้อนยุ่งยากมากขึ้นไปอีก
มิหนำซ้ำ มาเลเซียโดย“อันวาร์อิบราฮิม”นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ซึ่งเป็นประธานอาเซียน ก็ยังคอยหาเศษหาเลยในฐานะคนกลางผู้จัดให้มีการเจรจา อันไม่ต่างจาก“นายหน้าค้าสันติภาพ” ที่คอยรับงานจาก“โดนัลด์ทรัมป์”ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา ที่หวังจะหยิบชิ้นปลามันจากกรณี“ไทย-กัมพูชา”ไปคว้ารางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ประจำปี 2568 โดยที่จะมีการประกาศชื่อผู้ได้รับรางวัลในวันที่ 10 ตุลาคมวันนี้
และในเวลานี้ ไม่เพียงแต่กัมพูชาเท่านั้น ที่ทอดตัวให้“โดนัลด์ทรัมป์”เหยียบขึ้นไปคว้ารางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ จากการส่งเสียงเชียร์ว่า“ทรัมป์”เป็นผู้สร้างสันติภาพให้เกิดขึ้น จากปัญหาข้อพิพาทระหว่าง“ไทย-กัมพูชา” ซึ่งอิสราเอลก็เป็นอีกหนึ่งประเทศ โดยนายกรัฐมนตรีเบนจามินเนทันยาฮู ได้ประกาศเสนอชื่อ“โดนัลด์ทรัมป์” เพื่อชิงรางวัลนี้เช่นกัน ด้วยเหตุผลที่ว่า “ทรัมป์”เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการเจรจายุติสงครามในกาซา
ทั้งนี้ ไม่ว่าจะกรณี“ไทย-กัมพูชา”ในอาเซียน หรือสงครามในกาซา ล้วนเป็น“สันติภาพจอมปลอม”ทั้งสิ้น โดยเฉพาะปัญหา“ไทย-กัมพูชา” ที่ได้กลายเป็น“เหยื่อ”ให้ฝูงอีแร้งใหญ่น้อยลงมารุมทึ้ง อันส่งผลกระทบทำให้ปัญหาบานปลายและถูกลากยาวออกไป
ยังดีที่ผู้นำรัฐบาลไทยคนใหม่ คือ นายอนุทิน ชาญวีรกูล มองแจ้งแทงทะลุ จึงเห็นว่าการที่สหรัฐอเมริกาโดยประธานาธิปดีโดนัลด์ทรัมป์ ตั้งเงื่อนไขให้“อันวาร์อับราฮิม”ประธานอาเซียนรับไปดำเนินการ เกี่ยวกับพิธีลงนาม“สันติภาพไทย-กัมพูชา” ในการประชุมสุดยอดอาเซียน (ASEANSummit) ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ระหว่างวันที่ 26-28 ตุลาคมนี้ โดย“ทรัมป์”จะนั่งเป็นประธานในพิธีลงนาม และห้าม“จีน”เข้ามายุ่งเกี่ยวนั้น ไทยมิอาจผลีผลามไปยอมแบบสุ่มสี่สุ่มห้าได้
โดยเรื่องนี้ก็มีตัวอย่างให้เห็นมาแล้ว คือ สมัยรัฐบาลพรรเพื่อไทย ที่นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการนายกรัฐมนตรี ได้ลงนามหยุดยิงเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 กับ“ฮุน มาเนต”นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ตาม“ใบสั่ง”ของสหรัฐอเมริกา ที่ใช้เงื่อนไขการลดกำแพงภาษีมาเป็นตัวล่อ และข้อตกลงหยุดยิงก็ถูกกัมพูชาละเมิดมาโดยตลอด
ด้วยเหตุนี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล จึงสงวนท่าทีโดยตั้งเงื่อนไขว่า ไทยจะลงนามสันติภาพกับกัมพูชาได้ จากการที่“โดนัลด์ ทรัมป์”เสนอตัวเป็นประธานการลงนาม ก็ต่อเมื่อกัมพูชาปฏิบัติตาม 4 หัวข้อ ตามที่ไทยเป็นฝ่ายยื่นข้อเสนอให้ทางกัมพูชารับไปปฏิบัติ
เงื่อนไข 4 ข้อดังกล่าว ตามที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 9 ตุลาคมเมื่อวานนี้ ก็คือ การถอนอาวุธหนัก เพื่อให้ฝ่ายไทยไม่รู้สึกว่ามีอันตรายต่อประชาชน, การถอนทุ่นระเบิด,การจัดการเรื่องสแกมเมอร์ และการจัดการในพื้นที่ที่ชาวกัมพูชาเข้ามาอยู่ในดินแดนประเทศไทย โดยทั้ง 4 ข้อนี้นายอนุทิน บอกว่า ถือเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ซึ่งจะเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศไทย และที่สำคัญมีความเป็นอันตรายต่อประชาชนคนไทยในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา
อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงเส้นตายการผลักดันชาวกัมพูชาออกจากพื้นที่บ้านหนองจาน และบ้านหนองหญ้าแก้ว จังหวัดสระแก้ว ในวันที่ 10ตุลาคมวันนี้ว่า จะเป็นอย่างไร นายอนุทิน ชาญวีรกูล ตอบว่า“ไม่มีคำว่าเดดไลน์ เพราะจะต้องปฏิบัติก่อน ถ้าไม่ปฏิบัติตามก็ต้องดำเนินการ”
ต้องจับตาดูกันว่า วันนี้วันที่ 10 ตุลาคม แนวรบด้านตะวันออกที่จังหวัดสระแก้วจะเกิดอะไรขึ้น หลังจากที่กองทัพภาคที่ 1 โดย พล.ท.วรยส เหลืองสุวรรณ แม่ทัพภาคที่ 1 คนใหม่ วาง“ยุทธวิธี”ด้วยการทำหนังสือแจ้งไปยังกองพล.น้อย ร.ที่51 ของกัมพูชา ว่าจะเข้าไปเก็บทุ่นระเบิด ที่บ้านหนองจาน และบ้านหนองหญ้าแก้ว ที่มีปัญหา โดยระบุว่าเป็นการเตรียมพื้นที่ปฏิบัติการของฝ่ายไทย
การปฏิบัติการครั้งนี้ แม้จะเข้าไปในรูปแบบเพื่อเข้าไปเก็บทุ่นระเบิด แต่ก็ถือว่าเป็น“ยุทธวิธี”ที่จะเปิดศึกดีเดย์กับกัมพูชาได้อย่างมีความชอบธรรม และไม่ละเมิดกฎบัตรสหประชาชาติ เพราะการจัดการกับกัมพูชาชาติอสรพิษนั้น จะต้องมีความรอบคอบและรัดกุม
แม้ว่า ทั้งบ้านหนองจาน และบ้านหนองหญ้าแก้ว เป็นดินแดนของไทย แต่ถ้ากัมพูชายึกยัก“ออกอาวุธก่อน” ไทยก็สามารถ“จัดหนัก”ตอบโต้ได้ทันทีทันควัน หากอยู่ๆ จะเข้าไปกวาดต้อนหรือจับกุมชาวกัมพูชา ที่รุกล้ำและบุกรุกพื้นที่เข้ามาลงหลักปักฐานในดินแดนไทยอย่างจู่โจมเลยนั้น แพ้ทางกัมพูชาบนเวทีโลกแน่นอน
เรียกว่า เสร็จเขมรแบบเรียบร้อย“ฮุนเซน”อสรพิษจอมเจ้าเล่ห์ เพราะฝ่ายกัมพูชา ตั้งท่ารอถ่ายภาพสร้างข่าวเท็จ เพื่อเป็นหลักฐานไปฟ้องโลกอยู่แล้ว-ว่าไทยรุกรานและรังแกเขมร !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี