•ปาฐกถา ๑๔ ตุลา ประจำปี จัดขึ้นในวันที่ ๑๔ ตุลาคมของทุกปี
เป็นวาระทางปัญญา และควรเน้นการนำไปปฏิบัติได้จริง
ที่มีความสำคัญในการสืบทอดเจตนารมณ์วีรชน ๑๔ ตุลา
โดยมีวัตถุประสงค์หลักคือ
การให้การศึกษาแก่ประชาชนและการสร้างผลสะเทือนเชิงนโยบายได้จริง
สรุปสาระสำคัญและกรอบคิดของปาฐกถา ๑๔ ตุลา ที่ผ่าน:
• เพื่อแก้ไขวิกฤตประชาชนและบ้านเมือง
ปาฐกถาได้นำเสนอกรอบคิดเชิงโครงสร้างเพื่อแก้ไขวิกฤตของประชาชนในหลายมิติ:
มิติทางการเมือง :
เน้นย้ำว่าประเทศไทยยังคงอยู่ภายใต้ “รัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นประชาธิปไตย”
และมีการเสนอภารกิจสำคัญที่คนสองรุ่นต้องสานต่อร่วมกัน เช่น
“๔ พันธกิจเปลี่ยนประเทศ” เพื่อสร้างสังคมที่คุ้มครองเสรีภาพและการแสดงออก นอกจากนี้ยังมีการวิเคราะห์ถึงปัญหาของโครงสร้างอำนาจ
ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง
มิติทางเศรษฐกิจ :
ชี้ชัดว่า ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ เป็นรากเหง้าสำคัญที่ขัดขวางประชาธิปไตยข้อเสนอแนะประกอบด้วย การสร้างหลักประกันด้านการคลังที่เข้มแข็ง
และกลไกที่โปร่งใสเพื่อป้องกันนโยบายประชานิยม
รวมถึงการปฏิรูปกลไกภาครัฐและเศรษฐกิจให้ทันต่อ Disruptive Technology โดยเน้นการพัฒนาอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพและการปรับนโยบายด้านแรงงาน/การศึกษา (reskilling).
มิติสิทธิมนุษยชนและนิติรัฐ :
วิพากษ์วิจารณ์วิกฤต “สิทธิมนุษยชนที่สูญหาย”
โดยเฉพาะปัญหาการบังคับบุคคลสูญหาย
ซึ่งเกิดจากแนวคิดของผู้มีอำนาจที่ใช้ความรุนแรงปราบปรามผู้เห็นต่าง
มีการสรุปว่า ๑๔ ตุลา เป็น “ชัยชนะอันล้มเหลว” ในการสถาปนาหลักนิติรัฐ เนื่องจากการละเลยการเอาผิดกับผู้สั่งการความรุนแรง ฯลฯ
มิติสิ่งแวดล้อมและสังคม :
ปาฐกถาได้ขยายขอบเขตการวิเคราะห์ให้ครอบคลุมถึงวิกฤตโลกสมัยใหม่ เช่น
“โลกร้อนและแชตจีพีที” พร้อมทั้งวิเคราะห์ตัวแปรทางการเมืองยุคใหม่
หลังการเลือกตั้ง โดยชี้ถึงบทบาทสำคัญของปัจจัย “3S”
(Story, Speed, Sensation) ในการสื่อสารทางการเมือง.
• การประเมินผลสะเทือนและประโยชน์ที่เกิดขึ้น
ปาฐกถามีผลกระทบในเชิงความคิดพอควร แต่ยังมีข้อจำกัดในเชิงนโยบาย:
ประชาชนได้รับ : ปาฐกถาทำหน้าที่เป็นแหล่ง “ให้สติและปัญญาแก่สังคม”
และมอบกรอบคิดทางวิชาการที่ลุ่มลึก
รวมถึงเป็นพื้นที่ที่ช่วยสร้างความต่อเนื่องทางอุดมการณ์ข้ามรุ่น
ผู้มีอุดมคติได้รับ : ปาฐกถาเป็นแหล่งผลิต คลังความรู้ทางวิชาการ
และทำหน้าที่เป็น พื้นที่เสรีภาพทางความคิด
ที่เปิดโอกาสให้มีการวิพากษ์วิจารณ์อำนาจรัฐได้
รัฐบาล/ภาคนโยบายได้รับ :
ปาฐกถาต้องสามารถสร้าง “แรงสะเทือนในสังคมเป็นอย่างมากกว่าที่ผ่านมา”
และทำหน้าที่เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาของวาทกรรมสาธารณะ
ที่กดดันให้ผู้นำรัฐบาลต้องตอบสนองต่อข้อวิจารณ์
(เช่น กรณีการตอบคำถามเรื่องโรดแมปการเลือกตั้ง).
อย่างไรก็ตาม พบว่ามีช่องว่างของการนำไปปฏิบัติเชิงนโยบาย ที่สำคัญ
เนื่องจากข้อเสนอส่วนใหญ่มุ่งเน้นการปฏิรูปโครงสร้างที่ขัดแย้งกับกลุ่มอำนาจเดิม
และไม่มีการนำเสนออย่างเป็นกระบวนการ มีจังหวะก้าวขั้นของการเปลี่ยนแปลง
บทเรียนที่ได้รับและการปรับปรุงเพื่อการแก้ไขวิกฤตของประชาชน
บทเรียนเชิงยุทธศาสตร์ :
การเมืองและเศรษฐกิจแยกจากกันไม่ได้ :
การสร้างประชาธิปไตยและการมีเศรษฐกิจที่เปิดกว้างและเป็นธรรม
ต้องทำควบคู่กันไป
ความล้มเหลวบนชัยชนะ : ต้องกลับไปเน้นย้ำเรื่องความรับผิดชอบ(Accountability) และการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม
เพื่อแก้ไขปัญหาการไม่สถาปนาหลักนิติรัฐที่สมบูรณ์
ความต่อเนื่องข้ามรุ่น : การเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ตีความหมายของ ๑๔ ตุลา
เป็นกลยุทธ์ที่ประสบความสำเร็จในการรักษาความทันสมัยของวาทกรรม
• แนวทางในการปรับปรุงเพื่อเพิ่มผลกระทบเชิงนโยบาย:
การสร้างกลไกการแปลงสาระเป็นนโยบาย (Policy Translation):
ควรจัดตั้งคณะทำงานเพื่อถอดรหัสข้อเสนอแนะให้เป็นเอกสารนโยบายที่กระชับ (Policy Brief) และ
ยื่นเสนอต่อสถาบันทางการเมือง เช่น รัฐสภา
เพื่อผลักดันให้เข้าสู่วาระนโยบายอย่างเป็นทางการ
การขยายการเข้าถึง : ควรใช้กลยุทธ์ “ไทยร่วม”
โดยการกระตุ้นให้ประชาชน “เลิกลัทธิไทยมุง ไทยบ่น” และย้ายสังกัด
เป็น “ไทยสน ไทยร่วม ไทยเรียกร้อง”
เพื่อผลักดันข้อเสนอในระดับภาคประชาชนและท้องถิ่น.
การรักษาสมดุลขององค์ปาฐก :
ควรมีการสานต่อโดยการเชิญตัวแทนที่รู้จริงจากทุกฝ่าย
รวมทั้ง ขบวนการรากหญ้า แรงงาน สตรี เยาวชน ฯลฯ
และขยายประเด็นโลกาภิวัตน์ ที่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของโลก
ให้เป็นหัวข้อหลักอย่างต่อเนื่อง
• สรุปข้อสรุปและแนวทางปฏิบัติ
ปาฐกถา ๑๔ ตุลา ประสบความสำเร็จพอสมควร : แต่ยังไม่สูงและมากพอ
ในการเป็นเวทีทางปัญญาที่ให้
“สติและปัญญา” แก่สังคม
อย่างไรก็ตาม ความท้าทายหลักคือ
การปิดช่องว่างเชิงนโยบาย และการสถาปนาหลักนิติรัฐที่สมบูรณ์
แนวทางปฏิบัติที่สำคัญที่สุด คือ
การเปลี่ยนยุทธศาสตร์จากการเน้น “วาทกรรม” ไปสู่ “การผลักดันนโยบายเชิงรุก”
ผ่านการสร้างกลไกที่เชื่อมโยงข้อเสนอทางความคิดเข้ากับสถาบันทางการเมือง
และกลไกการแปลงสาระเป็นนโยบายอย่างเป็นระบบ
เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาวิกฤตของประชาชนได้อย่างยั่งยืนและสมบูรณ์
โดยหลักสำคัญ อย่างน้อยต้องมี ๒ ประการ
๑.การนำเสนอ องค์ปาฐกที่มีความสามารถประสบการณ์การทำงานได้อย่างแท้จริง
ซึ่ง คณะผู้จัดฯ ต้องมีกรอบคิดที่กว้างไกล นำเสนอบุคคลที่กว้างขวางทุกด้าน
ทั้งการเมืองเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม นอกจากภาคประชาชน
๒.ต้องทำงานร่วมกับภาครัฐ การเมือง ข้าราชการและฝ่ายนโยบาย จึงจักสามารถร่วมมือกับภาครัฐและภาคการเมือง ซึ่งเป็นผู้นำเอาไปปฏิบัติได้จริง
ชัยวัฒน์ สุรวิชัย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี