ในที่สุด สว.และ สส.ไทยที่กินเงินเดือนภาษีอากรของประชาชน 3 คนคือ..นางอังคณา นีละไพจิตร..สว. และ สส.อีก 2 คน..คือนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ซึ่งมีสถานภาพเป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร..อันเป็นตำแหน่งที่มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง..และนายกัณวีร์ สืบแสง..หัวหน้าพรรคเป็นธรรม..ก็กลายเป็น“แนวร่วมมุมกลับ”ของกัมพูชา..ที่เป็นอริราชศัตรูของราชอาณาจักรไทยในเวลานี้
เพราะการที่บุคคลทั้ง 3 ซึ่งเป็นตัวแทนของปวงชนชาวไทยที่มาจากการเลือกตั้ง..ออกมาแสดงความเห็นกรณี“กัน จอมพลัง”เปิดเสียงหนังผีหลอกหลอนรวมทั้งเสียงเครื่องบินและเสียงระเบิด..เพื่อกดดันชาวกัมพูชาให้ออกไปให้พ้นจากดินแดนไทยที่จังหวัดสระแก้วว่า..เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน..และกฎหมายระหว่างประเทศ นั้น..เป็นการแสดงให้เห็นว่า เดือดเนื้อร้อนใจแทนคนกัมพูชา..ทั้งที่ในฐานะที่เป็นคนไทย..ควรจะร่วมมือร่วมใจกันต่อสู้กับกัมพูชาที่ก่อสงครามรุกรานไทย
อีกทั้ง..ยังกลับเห็นดีเห็นงามตามที่คณะกรรมาการสิทธิมนุษยชนแห่งกัมพูชา (CHRC)..ที่อ้างว่า “การใช้ลำโพงเปิดเสียงผีเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน..และเป็นการเหยียบย่ำศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์” และเข้าข่ายการละเมิดหลักสากลภายใต้สนธิสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการทรมาน (Convention Against Torture)..ซึ่ง“CHRC”ของกัมพูชายังได้ยื่นฟ้องต่อสำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR)..เกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย..ว่าการใช้เสียงที่ก่อให้เกิดความรำคาญ..เป็นรูปแบบหนึ่งของการข่มขู่และคุกคามทางจิตใจตามแนวชายแดนกัมพูชา-ไทยโดยเจ้าหน้าที่ทหารไทย
อย่างไรก็ดี..ในกรณีดังกล่าวนี้ รศ.ดร.ชิดตะวัน ชนะกุล..อาจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์การเมือง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์..และผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย..ได้ชี้ถึงการแสดงความเห็นเชิงตำหนิและปราม..ของนางอังคณา นีละไพจิตร, นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ..และนายกัณวีร์ สืบแสง..เพื่อนำไปสู่การระงับยับยั้งการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ทั้งทหารและพลเรือนที่ไปเปิดหนังผีขับไล่ชาวกัมพูชานั้นว่า..นอกจากบุคคลทั้ง 3 จะขาดองค์ความรู้เกี่ยวกับสนธิสัญญาระหว่างประเทศแล้ว..ยังเข้าข่ายเป็นการกระทำการที่ฝ่าฝืนบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 อีกด้วย
ประการแรกเกี่ยวกับการละเมิดสนธิสัญญาระหว่างประเทศนั้น..ผู้แทนปวงชนชาวไทยที่กินเงินเดือนจากภาษีอากรของประชาชนคนไทย..แต่ทำตัวเหมือน“คนไทยหัวใจเขมร”.
.ที่ชื่ออังคณา นีละไพจิตร, ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ และกัณวีร์ สืบแสง..ไม่ได้พิจารณาข้อกฎหมายระหว่างประเทศอย่างถ่องแท้..จึงขาดองค์ความรู้..นั่นก็เพราะ..ประเทศกัมพูชาได้ฉีกอนุสัญญาเจนีวา..อันเป็นสนธิสัญญาระหว่างประเทศที่ห้ามการโจมตีพลเรือนและสถานที่พลเรือนโดยเด็ดขาดในภาวะสงคราม
โดยการกระทำของกัมพูชาเกี่ยวกับเรื่องนี้..ด้วยการยิงปืนใหญ่ขนาด 122 มม. และจรวดหลายลำกล้อง“BM-21”..โจมตีเป้าหมายพลเรือนของไทย..คือ..โรงพยาบาล, บ้านเรือนประชาชน..และร้านสะดวกซื้อในปั้มน้ำมัน..ที่จังหวัดสุรินทร์, ศรีสะเกษ, บุรีรัมย์ และอุบลราชธานี..อย่างต่อเนื่อง..ตั้งแต่เปิดฉากรุกรานไทยในวันที่ 24 กรกฎาคมจนถึงวันลงนามหยุดยิงในวันที่ 28 กรกฎาคม 2568..ทำให้ประชาชนคนไทยเสียชีวิตไป 16 ราย..และบาดเจ็บ 38 ราย นั้น..ถือว่าร้ายแรงยิ่งกว่าการละเมิดสิทธิมนุษยชน..เพราะมันคือเลือดเนื้อและชีวิตของมนุษย์จริงๆ
ที่สำคัญที่สุด..การกระทำดังกล่าวของกัมพูชา..ยังเข้าข่ายเป็นการ“ก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ”..โดยที่“2 พ่อลูกตระกูลฮุน”..คือ“ฮุน เซน” และ“ฮุน มาเนต”..ถือว่าเป็น“อาชญากรสงคราม”ที่ก่อสงครามรุกรานไทย..ในการมุ่งโจมตีเป้าหมายพลเรือนของไทย..จนทำให้ประชาชนคนไทยผู้บริสุทธิ์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการสู้รบ..ซึ่งมีทั้งเด็กนักเรียนและผู้หญิงรวมอยู่ด้วย..ต้องล้มตายบาดเจ็บและพิการ
จึงไม่แปลกใจ..ที่ผู้คนในสังคมไทยทุกภาคส่วนที่รับไม่ได้กับการแสดงออกของ..สว.และ สส.ทั้ง 3 คนนี้.. รวมถึงนักสิทธิมนุษยชนจอมปลอมที่เป็นเครือข่ายเอ็นจีโอ..ที่แบมือรับเงินอุดหนุนจากชาติตะวันตก..ต่างได้พากันออกมาประณามและตั้งคำถามเป็นเสียงเดียวกันแบบภาษาชาวบ้านว่า..ในช่วงที่กัมพูชากระทำกับคนไทยนั้นบุคคลเหล่านี้“ไปมุดหัวกันอยู่ที่ไหน”..ถึงไม่ออกมาส่งเสียงพิทักษ์ปกป้องสิทธิให้แก่คนไทยที่เสียชีวิตและบาดเจ็บ
อีกประการหนึ่ง..เกี่ยวกับประเด็นที่ว่า..ผู้แทนปวงชนชาวไทยทั้ง 3 คนดังกล่าว..เข้าข่ายเป็นการกระทำการที่ฝ่าฝืนบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญนั้น..รศ.ดร.ชิดตะวัน ชนะกุล..ระบุว่า.. ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 52 ประกอบมาตรา 3 วรรค 2..มีบทบัญญัติโดยสรุปว่า คณะรัฐมนตรี..รัฐสภา..หน่วยงานรัฐ..มีหน้าที่พิทักษ์รักษาเขตที่ประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตย.. เกียรติภูมิ..ผลประโยชน์ของชาติ..และความมั่นคงแห่งรัฐ..ดังนั้น..นางอังคณา นีละไพจิตร, นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ..และนายกัณวีร์ สืบแสง..ในฐานะเจ้าหน้าที่รัฐไทย..จึงมีหน้าที่ที่จะต้องดำเนินการทุกวิถีทาง..เพื่อให้ชาวกัมพูชาที่ละเมิดอธิปไตยของไทยออกจากเขตแดนของไทย..ถ้าหากไม่ปฏิบัติ..ก็เข้าข่ายเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
จะอะไรก็แล้วแต่..ในที่สุดเมื่อวันที่ 15 ตุลาคมเมื่อวานนี้..สื่อของกัมพูชา..คือ“พนมเปญโพสต์”..ก็ได้ฉวยคว้าความเห็นของ สว.และ สส.ไทย ทั้ง 3 คนไปอ้างอิงทันที..โดยระบุว่าฝ่ายไทยยอมรับมากขึ้นว่า..การเปิด“เสียงผีโหยหวน”เข้าข่ายละเมิดสนธิสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการทรมาน (Convention Against Torture)..และนอกจากนั้นทางฝ่ายไทยก็ได้วิพากษ์วิจารณ์การกระทำของคนไทยด้วยกันเองว่าไม่ถูกต้อง
พร้อมกันนี้“พนมเปญโพสต์”..ยังได้อ้างความเห็นของนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ..ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรของไทย..ที่ให้สัมภาษณ์ตักเตือนเจ้าหน้าที่ไทยภายใต้กฎอัยการศึก..ว่าจำเป็นต้องป้องปรามการกระทำต่างๆ..ที่อาจโหมกระพือสถานการณ์ความตึงเครียด..อันเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ..รวมทั้งก่อให้เกิดความเสียหายแก่ภาพลักษณ์ของไทยในระดับนานาชาติ
บรรทัดนี้คงต้องบอกว่า..โชคดีของนางอังคณา นีละไพจิตร, นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ..และนายกัณวีร์ สืบแสง..ที่เกิดมาในยุคนี้..ถ้าเกิดเร็วกว่านี้คงไม่แคล้วต้องถูกตัดหัวเอาไปเสียบประจาน..ฐานเป็นไส้ศึกให้แก่เขมรศัตรูคู่อริของไทย !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี