วันอาทิตย์ ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
ในที่สุด สว.และ สส.ไทยที่กินเงินเดือนภาษีอากรของประชาชน 3 คนคือ..นางอังคณา นีละไพจิตร..สว. และ สส.อีก 2 คน..คือนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ซึ่งมีสถานภาพเป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร..อันเป็นตำแหน่งที่มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง..และนายกัณวีร์ สืบแสง..หัวหน้าพรรคเป็นธรรม..ก็กลายเป็น“แนวร่วมมุมกลับ”ของกัมพูชา..ที่เป็นอริราชศัตรูของราชอาณาจักรไทยในเวลานี้
เพราะการที่บุคคลทั้ง 3 ซึ่งเป็นตัวแทนของปวงชนชาวไทยที่มาจากการเลือกตั้ง..ออกมาแสดงความเห็นกรณี“กัน จอมพลัง”เปิดเสียงหนังผีหลอกหลอนรวมทั้งเสียงเครื่องบินและเสียงระเบิด..เพื่อกดดันชาวกัมพูชาให้ออกไปให้พ้นจากดินแดนไทยที่จังหวัดสระแก้วว่า..เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน..และกฎหมายระหว่างประเทศ นั้น..เป็นการแสดงให้เห็นว่า เดือดเนื้อร้อนใจแทนคนกัมพูชา..ทั้งที่ในฐานะที่เป็นคนไทย..ควรจะร่วมมือร่วมใจกันต่อสู้กับกัมพูชาที่ก่อสงครามรุกรานไทย
อีกทั้ง..ยังกลับเห็นดีเห็นงามตามที่คณะกรรมาการสิทธิมนุษยชนแห่งกัมพูชา (CHRC)..ที่อ้างว่า “การใช้ลำโพงเปิดเสียงผีเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน..และเป็นการเหยียบย่ำศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์” และเข้าข่ายการละเมิดหลักสากลภายใต้สนธิสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการทรมาน (Convention Against Torture)..ซึ่ง“CHRC”ของกัมพูชายังได้ยื่นฟ้องต่อสำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR)..เกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย..ว่าการใช้เสียงที่ก่อให้เกิดความรำคาญ..เป็นรูปแบบหนึ่งของการข่มขู่และคุกคามทางจิตใจตามแนวชายแดนกัมพูชา-ไทยโดยเจ้าหน้าที่ทหารไทย
อย่างไรก็ดี..ในกรณีดังกล่าวนี้ รศ.ดร.ชิดตะวัน ชนะกุล..อาจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์การเมือง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์..และผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย..ได้ชี้ถึงการแสดงความเห็นเชิงตำหนิและปราม..ของนางอังคณา นีละไพจิตร, นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ..และนายกัณวีร์ สืบแสง..เพื่อนำไปสู่การระงับยับยั้งการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ทั้งทหารและพลเรือนที่ไปเปิดหนังผีขับไล่ชาวกัมพูชานั้นว่า..นอกจากบุคคลทั้ง 3 จะขาดองค์ความรู้เกี่ยวกับสนธิสัญญาระหว่างประเทศแล้ว..ยังเข้าข่ายเป็นการกระทำการที่ฝ่าฝืนบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 อีกด้วย
ประการแรกเกี่ยวกับการละเมิดสนธิสัญญาระหว่างประเทศนั้น..ผู้แทนปวงชนชาวไทยที่กินเงินเดือนจากภาษีอากรของประชาชนคนไทย..แต่ทำตัวเหมือน“คนไทยหัวใจเขมร”.
.ที่ชื่ออังคณา นีละไพจิตร, ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ และกัณวีร์ สืบแสง..ไม่ได้พิจารณาข้อกฎหมายระหว่างประเทศอย่างถ่องแท้..จึงขาดองค์ความรู้..นั่นก็เพราะ..ประเทศกัมพูชาได้ฉีกอนุสัญญาเจนีวา..อันเป็นสนธิสัญญาระหว่างประเทศที่ห้ามการโจมตีพลเรือนและสถานที่พลเรือนโดยเด็ดขาดในภาวะสงคราม
โดยการกระทำของกัมพูชาเกี่ยวกับเรื่องนี้..ด้วยการยิงปืนใหญ่ขนาด 122 มม. และจรวดหลายลำกล้อง“BM-21”..โจมตีเป้าหมายพลเรือนของไทย..คือ..โรงพยาบาล, บ้านเรือนประชาชน..และร้านสะดวกซื้อในปั้มน้ำมัน..ที่จังหวัดสุรินทร์, ศรีสะเกษ, บุรีรัมย์ และอุบลราชธานี..อย่างต่อเนื่อง..ตั้งแต่เปิดฉากรุกรานไทยในวันที่ 24 กรกฎาคมจนถึงวันลงนามหยุดยิงในวันที่ 28 กรกฎาคม 2568..ทำให้ประชาชนคนไทยเสียชีวิตไป 16 ราย..และบาดเจ็บ 38 ราย นั้น..ถือว่าร้ายแรงยิ่งกว่าการละเมิดสิทธิมนุษยชน..เพราะมันคือเลือดเนื้อและชีวิตของมนุษย์จริงๆ
ที่สำคัญที่สุด..การกระทำดังกล่าวของกัมพูชา..ยังเข้าข่ายเป็นการ“ก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ”..โดยที่“2 พ่อลูกตระกูลฮุน”..คือ“ฮุน เซน” และ“ฮุน มาเนต”..ถือว่าเป็น“อาชญากรสงคราม”ที่ก่อสงครามรุกรานไทย..ในการมุ่งโจมตีเป้าหมายพลเรือนของไทย..จนทำให้ประชาชนคนไทยผู้บริสุทธิ์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการสู้รบ..ซึ่งมีทั้งเด็กนักเรียนและผู้หญิงรวมอยู่ด้วย..ต้องล้มตายบาดเจ็บและพิการ
จึงไม่แปลกใจ..ที่ผู้คนในสังคมไทยทุกภาคส่วนที่รับไม่ได้กับการแสดงออกของ..สว.และ สส.ทั้ง 3 คนนี้.. รวมถึงนักสิทธิมนุษยชนจอมปลอมที่เป็นเครือข่ายเอ็นจีโอ..ที่แบมือรับเงินอุดหนุนจากชาติตะวันตก..ต่างได้พากันออกมาประณามและตั้งคำถามเป็นเสียงเดียวกันแบบภาษาชาวบ้านว่า..ในช่วงที่กัมพูชากระทำกับคนไทยนั้นบุคคลเหล่านี้“ไปมุดหัวกันอยู่ที่ไหน”..ถึงไม่ออกมาส่งเสียงพิทักษ์ปกป้องสิทธิให้แก่คนไทยที่เสียชีวิตและบาดเจ็บ
อีกประการหนึ่ง..เกี่ยวกับประเด็นที่ว่า..ผู้แทนปวงชนชาวไทยทั้ง 3 คนดังกล่าว..เข้าข่ายเป็นการกระทำการที่ฝ่าฝืนบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญนั้น..รศ.ดร.ชิดตะวัน ชนะกุล..ระบุว่า.. ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 52 ประกอบมาตรา 3 วรรค 2..มีบทบัญญัติโดยสรุปว่า คณะรัฐมนตรี..รัฐสภา..หน่วยงานรัฐ..มีหน้าที่พิทักษ์รักษาเขตที่ประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตย.. เกียรติภูมิ..ผลประโยชน์ของชาติ..และความมั่นคงแห่งรัฐ..ดังนั้น..นางอังคณา นีละไพจิตร, นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ..และนายกัณวีร์ สืบแสง..ในฐานะเจ้าหน้าที่รัฐไทย..จึงมีหน้าที่ที่จะต้องดำเนินการทุกวิถีทาง..เพื่อให้ชาวกัมพูชาที่ละเมิดอธิปไตยของไทยออกจากเขตแดนของไทย..ถ้าหากไม่ปฏิบัติ..ก็เข้าข่ายเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
จะอะไรก็แล้วแต่..ในที่สุดเมื่อวันที่ 15 ตุลาคมเมื่อวานนี้..สื่อของกัมพูชา..คือ“พนมเปญโพสต์”..ก็ได้ฉวยคว้าความเห็นของ สว.และ สส.ไทย ทั้ง 3 คนไปอ้างอิงทันที..โดยระบุว่าฝ่ายไทยยอมรับมากขึ้นว่า..การเปิด“เสียงผีโหยหวน”เข้าข่ายละเมิดสนธิสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการทรมาน (Convention Against Torture)..และนอกจากนั้นทางฝ่ายไทยก็ได้วิพากษ์วิจารณ์การกระทำของคนไทยด้วยกันเองว่าไม่ถูกต้อง
พร้อมกันนี้“พนมเปญโพสต์”..ยังได้อ้างความเห็นของนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ..ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรของไทย..ที่ให้สัมภาษณ์ตักเตือนเจ้าหน้าที่ไทยภายใต้กฎอัยการศึก..ว่าจำเป็นต้องป้องปรามการกระทำต่างๆ..ที่อาจโหมกระพือสถานการณ์ความตึงเครียด..อันเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ..รวมทั้งก่อให้เกิดความเสียหายแก่ภาพลักษณ์ของไทยในระดับนานาชาติ
บรรทัดนี้คงต้องบอกว่า..โชคดีของนางอังคณา นีละไพจิตร, นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ..และนายกัณวีร์ สืบแสง..ที่เกิดมาในยุคนี้..ถ้าเกิดเร็วกว่านี้คงไม่แคล้วต้องถูกตัดหัวเอาไปเสียบประจาน..ฐานเป็นไส้ศึกให้แก่เขมรศัตรูคู่อริของไทย !
รุ่งเรือง ปรีชากุล

'อ.เจษฎ์'มาเอง! เปิด7ข้อเคลียร์ความเชื่อผิดๆปมดื่มนมไทย เปิดวาร์ปนมไทยที่เป็นนมโคแท้
'ปราชญ์ สามสี'ฟาด! 'พรรคส้ม' ใช้ 'สองมาตรฐาน' โจมตีกองทัพ แต่ปัดรับผิดคดีในพรรค
ผีตายยาก!เดอ ลิกต์ โขกทดเจ็บบุกแบ่งแต้มไก่
'กัน จอมพลัง' ควงลูกเมียเปิดใจน้ำตาซึม เผยความผิดพลาด เอาเวลาครอบครัวไปช่วยคนอื่น
'กัมพูชา'ขยับแรง! บุกทลาย2รังใหญ่แก๊งสแกมเมอร์ รวบผู้ต้องหากว่า600คนส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี