...“คนดีทำให้คนอื่นดีได้..หมายความว่า..คนดีทำให้เกิดความดีในสังคม..คนอื่นก็ดีไปด้วย.. ความเลวนั้นจะทำให้คนดีเป็นคนเลวก็ยาก..แต่เป็นไปได้..ถ้าคนดีเข้มแข็งในความดี..จะให้คนเลวมาทำให้คนดีเป็นคนเลวยาก..สำคัญอยู่ที่ความเข้มแข็งของคนดี”
...ข้อความข้างบนที่ยกมานั้น..คือพระราชดำรัสของในหลวงรัชกาลที่ 9..พระราชทานแก่คณะบุคคลต่างๆ ที่เข้าเฝ้าฯถวายชัยมงคล..เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา..ณ ศาลาดุสิดาลัย..สวนจิตรลดาฯ..พระราชวังดุสิต..วันพุธที่ 4 ธันวาคม 2539..ในโอกาสเดียวกับที่รัฐบาลในขณะนั้น (นายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี)..จัดงานเฉลิมฉลองพระราชพิธีกาญจนาภิเษก..ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี..และทรงมีพระราชดำรัสเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของบ้านเมืองว่าด้วยเรื่อง“คนดี” กับ “คนเลว”..ที่ทรงยกเป็นอุทาหรณ์
...เมื่อวานวันที่ 13 ตุลาคม..เป็นวันคล้ายวันสวรรคตครบ 9 ปี..ในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร..มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร..ในหลวงรัชกาลที่ 9..
หรือ“วันนวมินทรมหาราช”..ได้เห็นบรรยากาศ..ณ อุทยานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร..มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร..หรือสนามม้านางเลิ้งเก่า..เรียกว่าบรรยากาศคล้ายกับวัน“ปิยมหาราช’ในหลวงรัชกาลที่ 5..ซึ่งตรงกับวันที่ 23 ตุลาคมของทุกปี
...มีทั้งคณะรัฐมนตรีที่นำโดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล..นายกรัฐมนตรี..ตลอดจนตัวแทนหน่วยงานภาครัฐ, องค์กรอิสระ และภาคเอกชน..รวมถึงหน่วยงานต่างๆ..ประชาชน..นักเรียน..นิสิตนักศึกษา..และพรรคการเมือง..ร่วมถวายพวงมาลาหน้าพระบรมราชานุสาวรีย์..ในหลวงรัชกาลที่ 9..เพื่อน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ..เนื่องใน“วันนวมินทรมหาราช”
...อย่างไรก็ตาม..70 ปีแห่งการครองสิริราชสมบัติ..ตลอดรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช..บรมนาถบพิตร..นั้น..ประชาชนชาวไทยใต้ร่มพระบารมีต่างมีความผาสุกร่มเย็น..ด้วยพระมหากรุณาธิคุณ..และน้ำพระราชหฤทัยที่ทรงห่วงใยในชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎร
...พระองค์ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจน้อยใหญ่..เพื่อก่อเกิดประโยชน์อย่างยั่งยืนแก่ประเทศชาติและประชาชน..โดยมิทรงย่อท้อต่ออุปสรรคทั้งปวง..จะเห็นได้ว่า..พระองค์ทรงอุทิศเวลาในการเสด็จพระราชดำเนินไปยังท้องถิ่นทุรกันดารในภูมิภาคต่างๆ..เพื่อช่วยพัฒนาความเป็นอยู่ของราษฎรให้ดีขึ้น
...ภาพที่คุ้นชินของคนไทยตลอดรัชสมัยของในหลวงรัชกาลที่ 9..ก็คือ..พระองค์เสด็จฯเยี่ยมราษฎรพร้อมกล้องและแผนที่คู่พระราชหฤทัย..ทรงเข้าถึงพื้นที่ทุกตารางนิ้วของประเทศไทย..ไม่ว่าจะบนยอดดอยสูงหรือกระทั่งถิ่นทุรกันดารที่รถยนต์เข้าไม่ถึง..ทั้งนี้..ก็ด้วยพระราชปณิธานเพื่อทรงมุ่งหวังช่วยเหลือราษฎรให้อยู่ดีกินดี..และสามารถพึ่งตนเองได้..อันเป็นที่มาของ“ทฤษฎีใหม่”ว่าด้วย“เศรษฐกิจพอเพียง”..ซึ่งเป็นการพัฒนาประเทศชาติอย่างยั่งยืนแท้จริง
...มีภาพเปรียบเทียบที่ผู้รู้เคยแสดงให้เห็นไว้..โดยยกตัวเลขของจำนวนประชาชนที่เข้าสักการะพระบรมศพตั้งแต่วันแรกเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2559..ซึ่งสำนักพระราชวังอนุญาตให้ประชาชนเข้าถวายสักการะพระบรมศพ..ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท..ในพะบรมมหาราชวัง..จนถึงวันที่ 5 ตุลาคม 2560..ก่อนจะมีพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพในวันที่ 26ตุลาคม 2560..ว่ายาวแค่ไหน
...ปรากฏว่ายาวใกล้เคียงกับเทือกเขาแอนดีส (The Andes)ในอเมริกาใต้..ซึ่งเป็นเทือกเขาที่ยาวที่สุดในโลก..มีความยาวโดยเฉลี่ย 7 พันกิโลเมตร..พาดผ่าน 7 ประเทศ..คือ..เวเนซุเอลา, โคลอมเบีย, เอกวาดอร์, เปรู, โบลิเวีย, อาร์เจนตินา..และชิลี
...ที่เปรียบเทียบได้เช่นนั้นก็พราะ..จำนวนตัวเลขของประชาชนที่เข้าถวายสักการะพระบรมศพตลอด 337 วันนั้น..มีจำนวนทั้งสิ้น 12,739,531 คน..หรือ 12.7 ล้านคน
...ขณะเดียวกัน..จากจำนวนคนที่เข้าถวายสักการะพระบรมศพเมื่อนำมาคำนวณเป็นระยะทาง..โดยแต่ละคนยืนห่างประมาณ 60 เซนติเมตร..ถ้ายืนเอามือแตะไหล่ต่อๆ กันด้วยระยะดังกล่าว..ก็จะคิดออกมาเป็นระยะทางเท่ากับ 764,371,860 เซนติเมตร
...และเมื่อคำนวณออกมาเป็นกิโลเมตรจะเท่ากับ 7,643.72 กิโลเมตร..หรือ 7.6 พันกิโลเมตร..ซึ่งนับว่าอาจจะเท่าหรือยาวกว่าเทือกเขาแอนดีสเสียด้วยซ้ำไป..โดยที่ประเทศไทยมีความยาวจากเหนือจรดใต้..จากอำเภอแม่สาย..จังหวัดเชียงราย..ถึงอำเภอเบตง..จังหวัดยะลา..ประมาณ 1,600 กิโลเมตร
...นอกเหนือจากนั้น..มีตัวเลขสรุปว่า..ในรัชสมัยของในหลวงรัชกาลที่ 9..สถิติโดยเฉลี่ยเกี่ยวกับระยะทางเสด็จฯเยี่ยมราษฎร..คำนวณออกมาได้ประมาณ 25,000 กิโลเมตรต่อปี..เมื่อคูณกับ70 ปีที่ทรงครองราชย์..ทำให้พบว่า..ระยะทางที่เสด็จฯเยี่ยมเยียนราษฎรรวมแล้วทั้งสิ้น 175,000 กิโลเมตร..หรือประมาณ 1.7 แสนกิโลเมตร..เรียกว่าสเด็จฯเกือบใกล้จะครึ่งทางระหว่างโลกกับดวงจันทร์..ซึ่งดวงจันทร์อยู่ห่างจากโลกประมาณ 3.8 แสนกิโลเมตร
..ทั้งนี้..มีบันทึกไว้ว่า..ในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรครั้งแรก..ทรงเริ่มที่ภาคกลางเป็นภาคแรก..เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2498..โดยเสด็จฯจังหวัดนครปฐมและสุพรรณบุรี
..ที่อำเภออู่ทอง..จังหวัดสุพรรณบุรี..มีประชาชนมาเฝ้ารับเสด็จทั้งสองพระองค์อย่างล้นหลาม..เมื่อเสด็จฯลงจากรถยนต์พระที่นั่ง..ทรงมีพระราชปฏิสันถารกับราษฎร..ในหลวงรัชกาลที่ 9..รับสั่งถามหญิงชราคนหนึ่งว่า..“มีฝนตกลงมามากในระยะนี้..การทำนาและน้ำสำหรับรับประทานพอใช้ไหม ?”..หญิงชราทูลว่า“มีใช้พอเพียง”
ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงถามต่อว่าอยู่ที่ไหน..ทำมาหากินอะไร ?..หญิงชราทูลตอบว่า“ตั้งร้านค้าขายอยู่ในตลาดจ๊ะ”
...ทรงซักอีกว่า“ร้านใหญ่ไหม ?”..หญิงชราทูลว่า“ก็ไม่ใหญ่นักหรอก..แต่คงจะใหญ่คราวนี้..เพราะได้เฝ้าในหลวง”
...พระองค์ทรงพระสรวล..แล้วเสด็จพระราชดำเนินทักทายราษฎรคนอื่นต่อไป
ขอน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี