ขณะที่สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชายังตึงเครียด, ภาวะเศรษฐกิจโงหัวไม่ขึ้นจากความไร้ฝีมือของนักการเมืองที่เข้ามาบริหารประเทศ, ราคาพืชผลจากการเกษตรตกต่ำ, ภัยจากธรรมชาติที่เกิดซ้ำแล้วซ้ำอีก ฯลฯ นักการเมือง 3 พรรคกลับมุ่งมั่นเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ฉบับพ.ศ. 2560 ซึ่งรัฐสภาได้นัดประชุมในวันที่ 14 และ 15 ตุลาคม 2568 นี้
พรรคที่เสมอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญก็มี เพื่อไทย,ภูมิใจไทย และ ประชาชน ซึ่งพรรคหลังนี่มุ่งมั่นสุด ราวกับตั้งพรรคมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ
เมื่อเร็วๆนี้ ผมแว่วผ่านหูว่า มีสมาชิกระดับบนๆของพรรคประชาชนคนหนึ่ง ออกมากล่าวหาคนที่พูดถึงปัญหามากมายที่ประเทศนี้มีอยู่ ควรจะได้รับการแก้ไขเสียก่อน และสำคัญกว่า เมื่อเทียบกับการแก้รัฐธรรมนูญ ว่าความคิดเห็นเช่นนั้นเป็นตรรกะเพี้ยน หรือตรรกะที่ใช้ไม่ได้ อะไรทำนองนั้น
อ้าว! ความเห็นของประชาชนไม่เป็นที่พอใจของพรรคที่ใช้ชื่อ “ประชาชน” เสียแล้ว
สมัยก่อนมีคำเรียกพวกที่จะลงแดงจากการขาดยาเสพติดว่า“เสี้ยนยา” ดูเหมือนพรรคประชาชนกับความต้องการแก้รัฐธรรมนูญจะไม่ต่างกันเท่าไหร่ อาการหนักสุดๆ ถ้าไม่ได้แก้รัฐธรรมนูญอาจจะถึงลงแดงก็เป็นได้
ศาลรัฐธรรมนูญมีการประชุมเพื่อวินิจฉัยมา 3 ครั้งแล้วเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ครั้งหลังสุดก็คือ 10 กันยายน 2568 การวินัจฉัยประเด็นแรก มีมติเสียงข้างมาก 5 ต่อ 2 ให้รัฐสภามีอำนาจริเริ่มหรือแสดงความต้องการเพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้
และอีกประเด็นที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคือ ต้องให้ประชาชนออกเสียงประชามติให้ความเห็นชอบว่า สมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่เสียก่อน ศาลรัฐธรรมนูญมีมติโดยเสียงข้างมาก 6 ต่อ 1 ว่า การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต้องมีการจัดให้มีการออกเสียงประชามติ 3 ครั้ง เพื่อนำไปสู่การยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
ครั้งที่ 1 ให้ประชาชนออกเสียงประชามติว่า สมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่, ครั้งที่ 2ิ ให้ประชาชนออกเสียงประชามติเกี่ยวกับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ว่า มีวิธีการและเนื้อหาที่สำคัญ ก็คือที่มาของสภาร่างรัฐธรรมนูญ หรือที่เรียกกันว่า ส.ส.ร. และครั้งที่ 3 ภายหลังรัฐสภาจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เสร็จแล้ว ต้องให้ประชาชนออกเสียงประชามติว่า เห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ แต่อาจรวมการออกเสียงประชามติครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 เป็นครั้งเดียวกันได้
แต่ทั้งหมดทั้งปวง ขั้นแรกสุดก็ต้องแก้รัฐธรรมนูญมาตรา 256 เสียก่อน (รบกวนไปหาอ่านกันเอาเอง) ซึ่งต้องได้เสียง 1 ใน 3 ของ สว. ถ้าผ่านตรงนี้ได้ก็สามารถไปทำประชามติได้ ดังนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย
แม้พยายามเขียนย่นย่อให้สั้นกระชับแล้ว ผมก็ยังเชื่อว่า คนไทยส่วนใหญ่ทั่วประเทศยังมึนตึ้บ ไม่เข้าใจว่าจะแก้รัฐธรรมนูญไปทำไม และคงไม่รู้หรอกว่าพวกเขาจะได้ประโยชน์อะไร แต่ที่จะรู้แน่ๆ คือ เงินภาษีที่ประชาชนจ่ายให้รัฐจะถูกนำไปผลาญ เอ๊ย! นำไปใช้ในการทำประชามติเป็นจำนวนมหาศาล
คณะกรรมการเลือกตั้ง (กกต.) เคยมีข้อมูลในการทำประชามติว่า ทำประชามติครั้งหนึ่งก็ 3 พันกว่าล้านบาท เมื่อได้ ส.ส.ร. มาแล้วก็ยังต้องปรนเปรอเป็นค่าตอบแทน, เบี้ยประชุม, ค่าเดินทาง, ค่าสำนักงาน และค่าจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน รวมถึงค่าจัดทำประชามติสุดท้ายเพื่อรับร่างรัฐธรรมนูญใหม่หรือไม่ รวมแล้วตีเป็นตัวเลขกลมๆ ก็ราว 14,000 กว่าล้านบาท
สาเหตุหนึ่งที่พรรคการเมืองอยากจะแก้รัฐธรรมนูญฉบับ 2560 คือ มีข้อบังคับหรือป้องกันการคอร์รัปชั่นของนักการเมืองไว้ค่อนข้างหนาแน่น และเงื่อนปมอื่นๆ ที่ทำให้นักการเมืองรู้สึกถูกรัดรึง (ซึ่งไม่ใช่เรื่องทางเพศ) ในการจะทำเรื่องราวต่างๆ ที่ไม่ถูกไม่ควร รวมถึงบทลงโทษที่แรงขึ้นกว่ารัฐธรรมนูญเก่าๆ
พูดง่ายๆ ว่า ถ้าไม่ได้คิดจะทำอะไรผิดครรลองคลองธรรม ก็ไม่เห็นต้องเกรงกลัวอะไร เพราะทุกพรรคที่ได้รับเลือกตั้งเข้าสภาครั้งที่ผ่านมาก็ด้วยรัฐธรรมนูญฉบับนี้
ขณะที่พรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทยในการเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญคงไม่ต่างกันเท่าไหร่ แม้จะต้องการลดอำนาจขององค์กรอิสระคล้ายๆ กัน แต่พยายามที่จะไม่แตะหมวดพระมหากษัตริย์ พรรคประชาชนนั้นแตกต่างออกไป เพราะชัดเจนตลอดมาตั้งแต่ยังเป็นพรรคอนาคตใหม่ ผ่านพรรคก้าวไกลจนมาถึงพรรคปัจจุบัน นักการเมืองหน้าใหม่กลุ่มนี้มุ่งเป้าที่จะเปลี่ยนแปลงมาตราหลักเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ ด้วยเจตนาใดที่ลุ่มลึกกว่านี้หรือเปล่าไม่ทราบได้
นั่นก็ทำให้คนไทยส่วนใหญ่คงยากจะรับได้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี