การประชุมสุมหัวเพื่อต้องการฉีกรัฐธรรมนูญ“ฉบับปราบโกงนักการเมือง”ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน..และยกร่างฉบับใหม่ขึ้นมา..ให้สมประโยชน์ของนักการเมืองและพรรคการเมือง..โดยมีพรรคประชาชน..และพรรคเพื่อไทย เป็นตัวตั้งตัวนี้นั้น..ผ่านวาระแรกไปแล้วแบบฉลุย
ที่ประชุมสมาชิกรัฐสภาเมื่อวันที่ 15 ตุลาคมที่ผ่านมา..มีมติรับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคประชาชน..กับพรรคภูมิใจไทย..ส่วนของพรรคเพื่อไทยถูกตีตก..โดยในชั้นแปรญัติวาระ 2 ของคณะกรรมาธิการวิสามัญนั้น..มติของที่ประชุมให้ใช้ร่างของพรรคประชาชนเป็นหลัก
เนื้อหาใหญ่ใจความของร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคประชาชน..ที่นำเสนอโดยนายพริษฐ์ วัชรสินธุ..สส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาชน..และคณะนั้น..กำหนดให้มีจำนวนผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญ 135 คน..ประกอบด้วยคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ 35 คน..และสภาที่ปรึกษายกร่างรัฐธรรมนูญอีก 100 คน
โดยที่มาของคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ 35 คน..จะใช้วิธีให้ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง..เลือกมาจากระบบบัญชีรายชื่อที่ผู้สมัครรวมกันเป็นกลุ่มบุคคลตั้งแต่ 17-70 คน..โดยใช้เขตประเทศเป็นเขตเลือกตั้ง..และให้ประชาชนเลือกเข้ามา 70 คน..หลังจากได้ 70 คนแล้ว..ขั้นตอนต่อจากนั้นก็ส่งให้สมาชิกรัฐสภาคัดเลือกเหลือ 35 คน
และสำหรับสภาที่ปรึกษายกร่างรัฐธรรมนูญจำนวน 100 คนนั้น..จะมาจากการเลือกตั้งของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง..โดยให้แต่ละจังหวัดมีสมาชิกสภาที่ปรึกษาการยกร่างรัฐธรรมนูญ 1-5 คน..ตามจำนวนประชากร..และใช้เขตจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง..ซึ่งสมาชิกสภาที่ปรึกษายกร่างรัฐธรรมนูญนี้..มีหน้าที่รับฟังความเห็นจากประชาชน..และประมวลส่งให้คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญนำไปพิจารณาต่อ
ทั้งนี้..นายพริษฐ์ วัชรสินธุ..ได้อภิปรายชี้แจงหลักการของร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคประชาชน..ต่อสมาชิกรัฐสภาในการประชุมวันแรกเมื่อวันที่ 14 ตุลาคมที่ผ่านมาว่า..“ร่างรัฐธรรมนูญของพรรคประชาชนมีจุดแข็งคือ..กำหนดให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากที่สุด..โดยไม่ขัดกับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ..และกำหนดเนื้อหารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้รับรองความเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียวจะแบ่งแยกมิได้..และให้มีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข..เพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย”
สำหรับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2568..ระบุว่า..รัฐสภามีอำนาจริเริ่มหรือแสดงความต้องการเพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้..แต่ต้องให้ประชาชนออกเสียงประชามติให้ความเห็นชอบ..ว่าสมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่เสียก่อน
สำคัญที่สุดก็คือ..ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่า..รัฐสภาไม่สามารถให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้โดยตรง..นั่นก็เท่ากับว่า..ประชาชนไม่สามารถเลือกตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ..หรือ ส.ส.ร.ได้
ด้วยเหตุดังนั้น..พรรคประชาชนจึงออกแบบที่มาของ“ผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญ”ด้วยการเลี่ยงบาลี..โดยกำหนดให้มีคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ 35 คน..และสภาที่ปรึกษายกร่างรัฐธรรมนูญจำนวน 100 คน..ซึ่งสุดท้ายแล้วก็ต้องจับตาดูกันต่อไปว่า..การเลี่ยงเช่นนี้จะขัดกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่
ขณะที่ร่างแก้ไขของพรรคภูมิใจไทย..กำหนดที่มาของ“ผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญ”..โดยมีจำนวนทั้งหมด 99 คน..แยกเป็น 2 ประเภท..คือ ส.ส.ร.จังหวัด 77 คน..และ ส.ส.ร.ผู้ทรงคุณวุฒิ 22 คน..ที่มาจากด้านวิชาการ-ด้านนิติศาสตร์ 7 คน, ด้านรัฐศาสตร์ 7 คน..และผู้เชี่ยวชาญด้านการเมือง-การบริหารราชการแผ่นดิน 8 คน
วิธีการของพรรคภูมิใจไทยเลี่ยงบาลีด้วยการ..ให้ผู้ประสงค์จะเป็น ส.ส.ร.จังหวัด..และ ส.ส.ร.ผู้ทรงคุณวุฒิ..ยื่นสมัครเป็น ส.ส.ร.ต่อ กกต. เมื่อ กกต.ตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามเสร็จสิ้นแล้ว..ให้ส่งรายชื่อผู้สมัครทั้งหมดไปยังประธานรัฐสภา..เพื่อเปิดประชุมร่วมรัฐสภาลงคะแนนคัดเลือก ส.ส.ร.จังหวัดๆ ละ 1 คน..รวมทั้งหมด 77 คน..และ ส.ส.ร.ผู้ทรงคุณวุฒิอีก 22 คน
พร้อมกันนี้..ตามร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับของพรรคภูมิใจไทย..ก็ยังได้กำหนดให้มีการตั้งคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญจำนวน 45 คน..โดยมีที่มาจาก ส.ส.ร. 30 คน..และคนนอกที่มีความรู้ความสามารถ 15 คน
อย่างไรก็ตาม..ในการลงประชามตินั้น..คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ว่า..การจัดทำหรือยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่..จะต้องจัดให้มีการออกเสียงประชามติ 3 ครั้ง..เพื่อนำไปสู่การยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
คือ..ครั้งที่ 1 ให้ประชาชนออกเสียงประชามติ..ว่าสมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่, ครั้งที่ 2 ให้ประชาชนออกเสียงประชามติเกี่ยวกับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่..ว่ามีวิธีการและเนื้อหาที่สำคัญเป็นประการใด..และครั้งที่ 3 ภายหลังรัฐสภาจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เสร็จสิ้น..ให้ประชาชนออกเสียงประชามติ..ว่าเห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่..ซึ่งการออกเสียงประชามติครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 นั้น..ศาลรัฐธรรมนูญได้อนุโลมให้รวมเป็นครั้งเดียวกันได้
สรุปแล้ว..ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคประชาชนและพรรคภูมิใจไทย..ที่ผ่านวาระแรกมาได้นั้น..ถือว่าเพิ่งเป็นการเริ่มต้น..ด่านสุดท้ายก็คือ ประชาชนผู้ออกเสียงลงประชามติ..จะยอมให้มีการฉีกทิ้งรัฐธรรมนูญ“ฉบับปราบโกงนักการเมือง”ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันหรือไม่
ผมหนึ่งสิทธิ์หนึ่งเสียง..เจอกันในวันลงประชามติที่คูหาเลือกตั้ง..ซึ่งรัฐบาลกำหนดไว้คร่าวๆ..ที่จะให้ออกเสียงพร้อมกับวันเลือกตั้งทั่วไปในวันอาทิตย์ที่ 29 มีนาคม 2569 ปีหน้า-ผมไม่ยอมครับ !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี