ภารกิจหลักที่บ้านหนองจาน บ้านหนองหญ้าแก้ว ไม่ใช่การเก็บกู้ทุ่นระเบิด
แต่คือการทวงคืนแผ่นดินไทย ที่ถูกพลเรือนกัมพูชายึดครองไปหลายสิบปี ภายใต้การสนับสนุนของทหารและรัฐบาลกัมพูชา
1. ฝ่ายกัมพูชารู้ พยายามใช้พลเรือนเป็นโล่มนุษย์ สร้างสถานการณ์ สร้างภาพว่าถูกกระทำ ถูกลิดรอนสิทธิ
ฝ่ายตะวันตก สหรัฐ ก็อยากเข้ามามีบทบาทเหนือกัมพูชา ดึงกัมพูชาออกจากอ้อมแขนจีน
2. เมื่อไทยเริ่มปฏิบัติการจริงจัง เข้าด้ายเข้าเข็ม ฝ่ายคนไทย ใจเขมร บริวารตะวันตก ก็แสดงบทบาทปกป้องฝ่ายกัมพูชา ตามแผนแยกกันเดิน ร่วมกันตี (ไทย)
อ้างว่า ไทยละเมิดสิทธิ
อ้างว่า ฝ่ายไทยทำขัดกฎหมายระหว่างประเทศ
แล้วฝ่ายกัมพูชาก็รีบหยิบไปอ้างอิง ใช้เป็นหอก-ดาบ พุ่งใส่ฝ่ายไทยทันที
แยกกันเดิน ร่วมกันตี (ไทย)
3. ฝ่ายไทยเราจึงต้องปฏิบัติภารกิจอย่างรอบคอบ ครบถ้วน รอบด้าน มีขั้นตอน
เมื่อเริ่มรุกเข้ายึดพื้นที่เมื่อไหร่ ต้องสำเร็จ กุมสภาพได้ทันที
จากนั้น ถ้ามหาอำนาจจะให้เจรจา ก็ค่อยเจรจา
รวมถึงพื้นที่อื่นๆ ที่เรายังไม่ได้คืนมาด้วย ตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา
4. กรณีพื้นที่บ้านหนองจาน บ้านหนองหญ้าแก้ว ชัดเจนว่า ฝ่ายกัมพูชารุกล้ำ ยึดพื้นที่อธิปไตยไทยอยู่หลายร้อยครัวเรือน
หลักฐานทางประวัติศาสตร์มีชัดเจน ไทยเคยให้พื้นที่ตั้งค่ายพักพิงหนีภัยสงครามในเขมรมาอย่างไร
แต่ปัจจุบัน ฝ่ายกัมพูชาปลูกบ้านเรือน ยึดกุมพื้นที่ ไม่ยอมอพยพออกไป
ฝ่ายไทยจึงเริ่มปฏิบัติตามแผนทวงคืนแผ่นดินไทย
5. ตัวอย่างพื้นที่บ้านหนองหญ้าแก้ว
ขณะนี้ เป็นการเก็บกู้ระเบิด โดย กกล.บูรพา ร่วมกับศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ (ศทช.) ยังคงเดินหน้าดำเนินการตรวจสอบค้นหาวัตถุระเบิดที่คาดว่าตกค้างในพื้นที่บริเวณบ้านหนองหญ้าแก้ว
สรุปผลการเก็บทุ่นระเบิดตกค้างในพื้นที่ ตั้งแต่วันที่ 10 ต.ค. 2568 ถึงปัจจุบันนี้สามารถตรวจพบทุ่นระเบิดสังหารบุคคล รวม 9 ทุ่น (POMZ-2 จำนวน 2 ทุ่น, PMN จำนวน 6 ทุ่น และ MN79 จำนวน 1 ทุ่น)
โดยได้ดำเนินการคืนพื้นที่ปลอดภัยครอบคลุม บ.หนองหญ้าแก้ว แล้ว 100%
รวมพื้นที่ 38,200 ตร.ม.
ล่าสุด มีภาพทหาร ฉก.อรัญประเทศ และทหารพรานที่รับผิดชอบในพื้นที่ร่วมแสดงพลังการปกป้องผืนแผ่นดินไทย พร้อมร้องเพลง “สยามานุสสติ” เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับพี่น้องประชาชน
ตามแผนภาพนี้ จะเห็นว่า ทั้งหมดอยู่ในเขตประเทศไทย ไม่ใช่พื้นที่พิพาท
และที่สำคัญ ยังไม่ใช่พื้นที่บ้านเรือนกัมพูชาที่จะต้องถูกผลักดัน รื้อย้ายออกไปด้วย
แต่เป็นพื้นที่สำคัญที่จะต้องปลอดภัย เพื่อการปฏิบัติภารกิจหลังจากนี้
โดยฝ่ายไทยมีความชอบธรรมทุกประการ ที่จะเข้ายึดเอาแผ่นดินไทยคืนมา เพราะ “บ้านหนองหญ้าแก้ว (บ้านไปรจัน)” อยู่ในเขตอธิปไตยไทย
ไม่ใช่พื้นที่ทับซ้อน
JBC รับรองแล้ว
สอดคล้อง MOU 2543
กองทัพไทยเคยชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับหลักเขตแดนที่ 42 และ 43 ในพื้นที่อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว
โดยพลตรี วิทัย ลายถมยา โฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย เปิดเผยถึงประเด็นหลักเขตแดนว่า
“หลักเขตแดนที่ 42 ตั้งอยู่ที่บ้านหนองหญ้าแก้ว (บ้านไปรจัน) ตำบลโคกสูง อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว และหลักเขตแดนที่ 43 ตั้งอยู่ที่บ้านโนนหมากมุ่น ตำบลโคกสูง อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว โดยการกำหนดแนวเขตแดนในพื้นที่ดังกล่าวเป็นเส้นตรงจากหลักเขตแดนที่ 41 มายังหลักเขตแดนที่ 42 และต่อเนื่องไปยังหลักเขตแดนที่ 43 จากนั้นแนวเขตแดนจะไปตามคลองระลมระสือจนถึงหลักเขตแดนที่ 44
สำหรับกระบวนการสำรวจ ชุดสำรวจร่วมไทย–กัมพูชาได้ดำเนินการตามขั้นตอนที่ 1 ของ TOR
คือ การสำรวจสภาพ และที่ตั้งของหลักเขตแดนทั้งหมด 74 หลัก ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2549
โดยในส่วนของหลักเขตแดนที่ 42 ได้สำรวจเมื่อวันที่ 2–29 ตุลาคม 2549 พบว่ายังอยู่ในสภาพดี แต่ทั้งสองฝ่ายมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องที่ตั้ง ประมาณ 80 เมตร
ส่วนหลักเขตแดนที่ 43 ได้สำรวจเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน–12 ธันวาคม 2549 พบว่าหลักล้ม และถูกฝังอยู่ในดิน อย่างไรก็ตาม ทั้งสองฝ่ายสามารถตกลงที่ตั้งที่ถูกต้องร่วมกันได้ และได้สร้างหมุดชั่วคราว (Temporary Marker: TM) ไว้ ณ ตำแหน่งดังกล่าว
ผลการสำรวจร่วมทั้งหมด 74 หลัก รวมถึงหลักเขตแดนที่ 42 และ 43 ได้รับการรับรองแล้วในการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย–กัมพูชา (JBC) ครั้งที่ 6 เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2568 แต่ยังไม่ได้มีการสำรวจแนวเขตแดนในส่วนของเส้นตรงระหว่างหลักทั้งสอง
อย่างไรก็ตาม ในหลักฐานบันทึกวาจาและแผนผังแสดงที่ตั้งหลักเขตแดนทั้งสอง ซึ่งเป็นไปตามที่ระบุในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ปี 2543 ได้ระบุแนวเขตแดนเป็นเส้นตรงระหว่างหลักทั้งสอง
สำหรับบันทึกวาจาและแผนผังแสดงที่ตั้งหลักเขตแดนที่ 42 และ 43 เป็นบันทึกของข้าหลวงปักหลักเขตแดนระหว่างประเทศสยามกับอินโดจีนของฝรั่งเศส จัดทำขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1908–1909 โดยใช้ต้นไม้หรือเสาไม้ติดแผ่นโลหะเป็นหลักเขตแดน ต่อมาในปี ค.ศ. 1919–1920 ได้เปลี่ยนเป็นหลักคอนกรีตทดแทน ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับหลักไม้หรือเสาไม้เดิม โดยในแผนผังแสดงที่ตั้งหลักเขตแดนของบันทึกวาจาทั้งสองห้วง ได้กำหนดแนวเขตแดนเป็นเส้นตรงระหว่างหลักที่ 42 และ 43 โดยแนวเส้นตรงดังกล่าวผ่านกึ่งกลางของหลักเขตแดนทั้งสองอย่างชัดเจน
ทั้งนี้ กองทัพไทยขอยืนยันว่า บ้านหนองหญ้าแก้ว (บ้านไปรจัน) อยู่ในเขตอธิปไตยของไทย
ไม่ใช่พื้นที่ทับซ้อนที่เกิดจากความแตกต่างของการลากเส้นตรงระหว่างหลักเขตแดนที่ 42 และ 43
การดำเนินการทั้งหมด เป็นไปตามกระบวนการ และหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ได้รับการรับรองร่วมกันแล้ว ภายใต้บันทึกความเข้าใจ (MOU 2543) และการหารือในระดับคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย–กัมพูชา (JBC) อย่างต่อเนื่อง”
ชัดเจน นี่คือแผ่นดินไทย
แผ่นดินกู
เป็นตัวอย่างพื้นที่อธิปไตยไทย ไทยต้องเอาคืนมา ก่อนมหาอำนาจจะบีบให้เกิดสันติภาพปลอมๆ
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี