เสียงนักการเมืองพรรคส้มยังก้องอยู่ในหู... เลือกอนุทินให้มาเป็นนายกฯ เพื่อยุบสภาแก้รัฐธรรมนูญ ไม่ใช่ทำคนละครึ่ง...
เมื่อวานนี้ นักการเมืองประชุมแก้รัฐธรรมนูญกันในสภา
แนวทาง เนื้อหา ต่างกันไปตามผลประโยชน์ทางการเมืองของแต่ละกลุ่ม แต่ละพรรค
ขณะที่ วันนี้ (15 ต.ค.2568) นโยบายคนละครึ่งพลัส ของรัฐบาลอนุทิน เริ่มให้ร้านค้าลงทะเบียนกันแล้ว
ประชาชนคงพิสูจน์กันได้เองว่า อะไร คือ ความหวังที่จับต้องได้ ว่าจะช่วยแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน
ระหว่าง แก้รัฐธรรมนูญ กับ เดินหน้าทำโครงการแบบคนละครึ่งพลัส
1. พรรคการเมือง นักการเมือง บางจำพวก เหมือนมันจะเป็นจะตาย ถ้าไม่รื้อแก้ หรือล้มรัฐธรมนูญ 2560
ผลาญเงินเท่าไหร่ ไม่เคยเสียดาย
ทำราวกับว่า ถ้ายังใช้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันต่อไปเรื่อยๆ ประเทศชาติจะล่มสลาย ประชาชนจะบาดเจ็บล้มตาย เศรษฐกิจจะวิกฤตหายนะ
ทั้งๆ ที่ ความจริง หลายเรื่องที่ประชาชนได้ประโยชน์จับต้องได้ เช่น โครงการคนละครึ่ง ก็สามารถทำได้เลย ทำได้ทันที เกิดประโยชน์ทันที โดยไม่ขัดรัฐธรรมนูญเลย
แถมพอรัฐบาลจะทำคนละครึ่ง พรรคส้มก็รีบข่มขู่ขึงขังทันที ...เลือกอนุทินให้มาเป็นนายกฯ เพื่อยุบสภา แก้รัฐธรรมนูญ ไม่ใช่ทำคนละครึ่ง...
นี่แหละธาตุแท้ของนักการเมืองพรรคการเมือง ว่าทำเพื่อประโยชน์ของใครเป็นสำคัญ
2. ความจริง สมัยรัฐบาลอุ๊งอิ๊งค์ นักการเมือง พรรคเการเมือง ก็เคยขยับแก้รัฐธรรมนูญกันแล้ว
ครั้งนั้น ทิศทางเนื้อหาที่อยากแก้ ชัดเจนว่า กะจะปล่อยผี แง้มฝาโลงลดความเข้มข้นของการตรวจสอบนักการเมือง
อาทิ
แก้ไขมาตราเกี่ยวกับสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น สส. ให้หลวมขึ้น
แก้ไขมาตราเกี่ยวกับคุณสมบัติของรัฐมนตรี ให้หย่อนลง เรื่องความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ มาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง เป็นต้น
แก้ไขมาตราเกี่ยวกับการทำหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญในการวินิจฉัยคดีต่างๆ ก้าวก่ายการทำหน้าที่เด็ดขาดของศาล
แก้ไขมาตราเกี่ยวกับอำนาจของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่เกี่ยวกับการพิจารณาคดีของ สส.
อยาก แก้ไขเพิ่มเติมหมวด 1 บททั่วไป หมวด 2 พระมหากษัตริย์ ด้วย ฯลฯ
จะเห็นว่า ทั้งหมด ล้วนเป็นผลประโยชน์เกี่ยวข้องกับนักการเมืองทั้งนั้น
ที่สำคัญ เป็นผลประโยชน์ของนักการเมืองประเภทที่ไร้จริยธรรม สันหลังหวะไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์
จึงได้ดิ้นรน พยายามจะแก้ไขเปลี่ยนแปลง
3. จำได้ว่า ช่วงรัฐบาลอุ๊งอิ๊งค์ สังคมก็เรียกร้องให้เร่งแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง
ขอให้ฟื้นโครงการคนละครึ่ง ช่วยรักษาระดับกำลังซื้อในระบบเศรษฐกิจร้านค้ารายย่อย
แต่ปรากฏว่า รัฐบาลอุ๊งอิ๊งค์ก็ไม่ทำ
4. พอมาถึงยุครัฐบาลนายกฯอนุทิน พูดเป็นเรื่องแรกเลยว่า จะทำคนละครึ่ง เพราะทำได้ทันที ประชาชนได้ประโยชน์ ตรงจุด
ไม่สนว่าใครจะได้หน้าได้ตา ขอให้เป็นโครงการที่ดี ทำแน่
ก่อนจะตกผลึกมาเป็น “คนละครึ่งพลัส” ในวันนี้
5. โครงการคนละครึ่ง ริเริ่มยุครัฐบาลลุงตู่
ได้รับเสียงชื่นชมอย่างมาก ว่าเป็นความชาญฉลาดในการกระตุ้นการรับจ่ายใช้สอย รักษาระดับกำลังซื้อในระบบเศรษฐกิจ
มีการดำเนินการช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2563 และไตรมาสที่ 1 ของปี 2564 ช่วงหลังสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด
โครงการคนละครึ่ง ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน โดยมีกลุ่มเป้าหมายเริ่มต้น 10 ล้านคน
ช่วยให้ผู้ประกอบการรายย่อย โดยเฉพาะหาบเร่ แผงลอย มีรายได้จากการขายสินค้า โดยมีผู้ประกอบการร้านค้ารายย่อยลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการนับล้านราย
การใช้จ่ายตามมาตรการนี้ รัฐบาลจะออกค่าใช้จ่ายมูลค่าครึ่งหนึ่งของสินค้าและบริการ โดยประชาชนจะต้องจ่ายเงินอีกครึ่งหนึ่งด้วยตนเอง
รัฐบาลจะจ่ายให้วันละ 150 บาทผ่านแอปกระเป๋าตัง ซึ่งประชาชนสามารถทำการสแกนจ่ายกับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่งกับรัฐบาลได้ทุกร้าน
กลุ่มเป้าหมายโครงการ เป็นผู้ที่พอจะมีรายได้เพื่อมาร่วมจ่ายกับรัฐ ซึ่งเป็นการสร้างอุปสงค์ที่แท้จริง ส่งผลให้ผู้ประกอบการรายย่อย โดยเฉพาะหาบเร่ แผงลอย มีรายได้เพิ่มขึ้น รักษาระดับและทิศทางของการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจให้เป็นไปได้อย่างต่อเนื่อง
องค์ประกอบที่สำคัญของโครงการ คือ ระบบการใช้จ่ายด้วยแอปพลิเคชั่น “เป๋าตัง”และ “ถุงเงิน”
ระบบดังกล่าว เป็นการสร้างการเรียนรู้ให้กับประชาชนจนถึงระดับฐานราก ให้สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี เพื่อลดความเหลื่อมล้ำและพัฒนาให้สังคมไทยเดินหน้าสู่ Digital Society ไปพร้อมๆ กัน และเป็นการลดการใช้เงินสด ทำให้การดำเนินโครงการโปร่งใส รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมาก
มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ “คนละครึ่ง” ถือเป็นมาตรการที่ได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยม
6. คนละครึ่งพลัส ยุคลุงหนู
วิจัยกรุงศรีฯ มองว่า เศรษฐกิจไทยมีสัญญาณอ่อนแอลงชัดเจน
กรณีที่รัฐบาลดำเนินมาตรการเพิ่มกำลังซื้อแก่ประชาชนในช่วงปลายปี (เดือนพฤศจิกายน-เดือนธันวาคม) จำนวน 33 ล้านคน
วงเงินราว 6.6 หมื่นล้านบาท จำแนกเป็น
(1) การเติมเงินเในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้แก่ผู้ถือบัตรฯ 13.4 ล้านคน จากเดิม 300 บาทต่อเดือน เพิ่มให้อีกเดือนละ 850 บาท
รวมเป็น 1,150 บาท เป็นเวลา 2 เดือน
วงเงินรวม 2.2 หมื่นล้านบาท
(2) โครงการคนละครึ่งพลัส สำหรับประชาชนทั่วไปอายุ 16 ปีขึ้นไปจำนวน 20 ล้านคน
วงเงิน 4.4 หมื่นล้านบาท
นอกจากนี้ ยังมีมาตรการสนับสนุนการท่องเที่ยวในประเทศและการลงทุนรวมถึงการเพิ่มสภาพคล่องแก่ธุรกิจ SMEs
มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจข้างต้น คาดว่า จะช่วยพยุงความเชื่อมั่นและหนุนการใช้จ่ายในประเทศในปีนี้ให้ฟื้นตัวได้บางส่วน
ขณะเดียวกัน การเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นของฤดูกาลท่องเที่ยว อาจช่วยหนุนให้จำนวนและรายรับจากนักท่องเที่ยวต่างชาติปรับเพิ่มขึ้นได้บ้าง
ปัจจัยบวกเหล่านี้ จะช่วยบรรเทาผลกระทบจากการส่งออกที่อ่อนแรงได้ในระดับหนึ่ง
7. เริ่มลงทะเบียน “คนละครึ่ง พลัส”
จะเริ่มใช้จ่ายเงินโครงการคนละครึ่ง พลัส ตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม จนถึง31 ธันวาคม 2568
ร้านค้า : ลงทะเบียนได้ตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม ถึง 19 ธันวาคม 2568 ผ่านแอปพลิเคชั่น “ถุงเงิน” ของธนาคารกรุงไทย
ปีนี้ มีการขยายสิทธิให้ครอบคลุมถึงร้านค้าขนาดเล็ก นิติบุคคล ไมโคร SME และวิสาหกิจชุมชนที่มีรายได้ไม่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี
และยังขยายโอกาสไปถึงกลุ่มธุรกิจบริการ อย่างร้านตัดผม และแท็กซี่รถสาธารณะ
ถือเป็นการเปิดประตูโอกาสให้ผู้ประกอบการรายย่อยที่อยู่ในระบบเศรษฐกิจท้องถิ่น และกลุ่มร้านค้าผู้เสียภาษีรายย่อย ได้เข้ามามีส่วนร่วมในมาตรการกระตุ้นการบริโภคระดับประเทศ
ส่วนประชาชนทั่วไป ลงทะเบียนโครงการผ่านแอปพลิเคชั่น “เป๋าตัง” ระหว่างวันที่ 20-26 ตุลาคม 2568 โดยจำกัดจำนวนสิทธิ 20 ล้านราย
ที่น่าสนใจ “คนละครึ่งพลัส” เพิ่มสิทธิ “ฟู้ดเดลิเวอรี่ พลัส” เปิดให้ประชาชนใช้สั่งอาหารผ่านระบบจัดส่งอาหารหรือไรเดอร์ โดยสั่งภายในแอปฯ เป๋าตังโดยตรงซึ่งหลังจากเปิดโครงการจะมีการเพิ่มปุ่มพิเศษขึ้นมาให้ได้เลือก
อายุไม่ต่ำกว่า 16 ปีบริบูรณ์ในวันลงทะเบียน
ผู้ที่อยู่ในระบบภาษีประมาณ 11 ล้านคน รัฐจะสมทบให้ 2,400 บาท
ประชาชนทั่วไปอีกประมาณ 9 ล้านคน รัฐสมทบให้ 2,000 บาท
วงเงินไม่เกิน 200 บาทต่อวัน
รองนายกฯ เอกนิติ รมว.คลัง คาดว่า โครงการนี้จะช่วยให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาท
จะช่วยดันผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) เพิ่มขึ้นราว 0.3-0.4% ในช่วงปลายปี
และย้ำว่า โครงการนี้ คือ เครื่องมือสำคัญที่จะพยุงเศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2568 ให้กลับมามีแรงส่งอีกครั้ง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากให้กลับมาคึกคัก และช่วยเสริมสภาพคล่องแก่ร้านค้ารายย่อยทั่วประเทศ พร้อมๆ กับได้ช่วยแบ่งเบาค่าครองชีพให้กับประชาชน
ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย มองว่า มาตรการนี้เป็นหนึ่งในปัจจัยบวกในช่วงปลายปี
คาดว่าจะมีเม็ดเงินเข้าไปช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ จากคนละครึ่งพลัส รวม 59,080 ล้านบาท และบัตรสวัสดิการฯ 23,000 ล้านบาท ซึ่งจะมาช่วยผลักให้จีดีพีปีนี้ปรับเพิ่มขึ้นอีก 0.44%
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี