แรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่เกิดขึ้นในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล เมื่อประธานาธิบดีสหรัฐฯประกาศเก็บภาษีนำเข้าจากจีนสูงสุดถึง 100% จุดชนวนสงครามการค้ารอบใหม่และสร้างความปั่นป่วนไปทั่วโลก ราคาบิตคอยน์ร่วงกว่า 8% ภายในวันเดียวขณะที่อีเธอเรียมและเหรียญชั้นนำอื่นๆ ร่วงตาม ส่งผลให้เกิดการล้างพอร์ต (liquidation) มูลค่ารวมกว่า 19 พันล้านดอลลาร์สหรัฐซึ่งถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของตลาดคริปโต
สิ่งที่ทำให้เหตุการณ์นี้รุนแรงกว่าที่คิด คือโครงสร้างของตลาดคริปโตในปัจจุบันเต็มไปด้วย Leverage Position หรือการเทรดด้วยเงินกู้นักลงทุนจำนวนมากเปิดสถานะโดยใช้มาร์จินสูงเพื่อเก็งกำไรจากความผันผวน เมื่อราคาบิตคอยน์ร่วงลงอย่างรวดเร็ว ระบบจึงทำการปิดสถานะอัตโนมัติในเวลาเดียวกัน ส่งผลให้แรงขายขยายตัวเป็นลูกโซ่ เกิดการเทขายแบบ Panic Sellทั่วทั้งตลาด และทำให้ราคาทรุดลงเกินกว่าที่ปัจจัยพื้นฐานจะอธิบายได้
ทำไม “ภาษีทรัมป์” ถึงสั่นคลอนโลกคริปโต
นโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ไม่ได้ส่งผลเฉพาะต่อภาคการผลิตหรืออุตสาหกรรมดั้งเดิมเท่านั้น แต่ยังสะเทือนถึงภาคเทคโนโลยีที่เป็นหัวใจของตลาดคริปโต ปัจจุบันจีนเป็นศูนย์กลางการผลิตชิปและฮาร์ดแวร์ที่เกี่ยวข้องกับการขุดและการพัฒนาเทคโนโลยี Blockchain การเก็บภาษีในอัตราที่สูงย่อมเพิ่มต้นทุนการผลิตและกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มองคริปโตในฐานะสินทรัพย์เทคโนโลยีเชิงนวัตกรรม
ในเชิงจิตวิทยาการลงทุน ตลาดคริปโตมี “Sentiment Effect” ที่รุนแรงกว่าตลาดหุ้นทั่วไป ข่าวทางภูมิรัฐศาสตร์ เช่น ภาษีการควบคุมการส่งออก หรือสงครามการค้า มักถูกตีความว่าเป็นสัญญาณของความไม่แน่นอนในอนาคตนักลงทุนจึงแห่ถอนทุนออกเพื่อลดความเสี่ยงขณะที่บอตเทรดอัตโนมัติและคำสั่ง Stop-Loss ยิ่งเร่งให้ตลาดร่วงลงอย่างต่อเนื่อง
เมื่อสหรัฐฯ ขู่… ตลาดเอเชียก็สั่น
อีกด้านหนึ่ง ค่าเงินบาทอ่อนค่าต่อเนื่องเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ สะท้อนถึงความกังวลของนักลงทุนต่างชาติ แม้เงินบาทอ่อนจะช่วยให้การส่งออกดูได้เปรียบขึ้นแต่ก็เพิ่มต้นทุนการนำเข้าวัตถุดิบและสินค้าคริปโตที่อ้างอิงสกุลดอลลาร์ เช่น ค่าโอนเหรียญ การชำระค่าธรรมเนียม และต้นทุนการดำเนินงานของแพลตฟอร์มในประเทศ ส่งผลให้ผู้ประกอบการไทยต้องบริหารความเสี่ยงเพิ่มขึ้นอีกขั้น
สำหรับผู้ลงทุนไทย เหตุการณ์นี้คือ“บทเรียนราคาแพง” ที่ตอกย้ำถึงความจำเป็นในการเข้าใจกลไกตลาด โดยเฉพาะการใช้เลเวอเรจและการจัดการความเสี่ยง หากถือครองเหรียญด้วยระยะยาว (HODL)อาจได้รับผลกระทบน้อยกว่า แต่ก็หนีไม่พ้นจากภาวะความเชื่อมั่นที่สั่นคลอนทั่วโลก
ความเข้าใจและการวางแผนให้รอบคอบ
เหตุการณ์ล้างพอร์ตกว่า 19 พันล้านดอลลาร์ครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงสองภาพพร้อมกัน ด้านหนึ่งคือความเปราะบางของตลาดที่ขับเคลื่อนด้วยการเก็งกำไร แต่ในอีกด้านหนึ่งก็แสดงให้เห็นถึง “ความยืดหยุ่น”ของตลาดคริปโตที่สามารถฟื้นตัวได้รวดเร็ว หลังจากราคาร่วงหนัก บิตคอยน์ก็สามารถดีดกลับขึ้นมาบางส่วนภายใน 48 ชั่วโมง แสดงให้เห็นว่ายังมีแรงซื้อจากนักลงทุนสถาบันและกองทุน ETF ที่เข้ามารับช่วง
การเข้ามาของสถาบันใหญ่ เช่น BlackRock และ Fidelity ผ่าน Bitcoin ETF ทำให้ตลาดคริปโตไม่ใช่พื้นที่ของนักเก็งกำไรรายย่อยอีกต่อไป แต่เป็นสมรภูมิการเงินระดับโลกที่มีการกำกับและเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจจริงอย่างแนบแน่นเหตุการณ์ล่าสุดจึงไม่ใช่แค่ความผันผวนชั่วคราว แต่คือการทดสอบ “ภูมิคุ้มกัน”ของระบบสินทรัพย์ดิจิทัลที่กำลังกลายเป็นโครงสร้างสำคัญของเศรษฐกิจยุคใหม่ คำขู่ภาษีจากสหรัฐฯอาจเป็นเพียงชนวนเล็กๆ ที่จุดประกายความกลัว
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือบทเรียนระดับโลกเกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างนโยบายการค้า มหภาคเศรษฐกิจ และสินทรัพย์ดิจิทัล สุดท้าย นักลงทุนในไทยควรเรียนรู้จากเหตุการณ์ครั้งนี้เพื่อเข้าใจความเสี่ยงและใช้ความรู้วางแผนให้รอบคอบความเข้าใจคือสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุดเสมอ
ดร.กร พูนศิริวงศ์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี