เผือกร้อนอยู่ในมือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมคนใหม่ พล.ต.ท.รุทธพล เนาวรัตน์
จะพิจารณาตัดสินใจดำเนินการอย่างไร กับฎีกาขออภัยโทษเบิ้ล ของ น.ช.ทักษิณ ชินวัตร ?
อันที่จริง ถ้ายึดหลักการความถูกต้อง ความศักดิ์สิทธิ์ของการบังคับใช้กฎหมาย เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม จะไม่มีอะไรต้องหนักใจเลย
1. ขณะนี้ คณะกรรมการที่ปลัดกระทรวงยุติธรรมตั้งขึ้นมาพิจารณา อยู่ระหว่างสรุปผลการพิจารณาส่งให้ รมว.ยุติธรรม เพื่อตัดสินใจดำเนินการต่อไป
ปลัดกระทรวงยุติธรรม นางพงษ์สวาท กล่าวว่า คณะกรรมการยังอยู่ระหว่างการพิจารณา
เมื่อถามว่านายทักษิณ เคยมีการยื่นถวายฎีกาฯ ขอพระราชทานอภัยโทษเฉพาะรายไปเมื่อปี 2566 แต่ตอนนี้ปี 2568 ถือว่าพ้น 2 ปี จึงสามารถยื่นขอทูลเกล้าฯ ได้ใช่หรือไม่ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ระบุว่า ใช่ค่ะ เพราะถ้าดูเวลาก็เกินแล้ว แต่ว่าต้องดูรายละเอียดอย่างอื่นประกอบด้วย
เมื่อถามต่อว่าความคิดเห็นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมจะเป็นในลักษณะว่า “โทษทัณฑ์เห็นควรเหมาะสมแล้ว” หรือ “ไม่เห็นควรอภัยโทษ”นั้น ปลัดกระทรวงยุติธรรม แจงว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมจะเป็นผู้พิจารณาอีกที แต่เรา (คณะกรรมการที่ดูข้อกฎหมาย) จะเป็นคนให้ข้อมูลประกอบ และท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมจะเป็นผู้พิจารณาอีกครั้ง จึงจะมีการนำเสนอไปตามขั้นตอนปกติต่อไป
2. กรณี น.ช.ทักษิณ ชินวัตร ได้ทำเรื่องทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ ครั้งที่ 2 หลังจากเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2568 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง อ่านคําสั่งคดี หมายเลขดําที่ บค1/2568 กรณีศาลมีคําสั่งให้ไต่สวนว่า การบังคับโทษพันตํารวจโทหรือนายทักษิณ ชินวัตร จําเลย เป็นไปตามหมายจําคุกเมื่อคดีถึงที่สุดในคดีหมายเลขแดงที่ อม 4/2551 คดีหมายเลขแดงที่ อม 5/2551 และคดีหมายเลขแดง ที่ อม 10/2552 ของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง หรือไม่
โดยคดีนี้ ศาลมีคำสั่งให้นายทักษิณกลับไปติดคุก 1 ปี ตามพระบรมราชโองการ
ปรากฏว่า ในการทำเรื่องทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษดังกล่าว พันตำรวจเอกทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม(ในขณะนั้น) ได้ลงนามเอกสารลับที่ยธ0703.41307 เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2568เรื่อง นักโทษเด็ดขาดนายทักษิณ ชินวัตร ทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ ถึง นายกรัฐมนตรี
เอกสารมีรายละเอียดจำนวน 11 หน้า
พันตำรวจเอกทวี สอดส่อง เห็นควร ยกฎีกาดังกล่าว ตามที่กรมราชทัณฑ์เสนอ
โดยให้เหตุผลว่า ...เมื่อศาลฎีกามีคำสั่งคดีหมายเลขแดงที่ บค 1/2568 ลงวันที่ 9 กันยายน 2568 ให้จำคุก นักโทษเด็ดขาดชายทักษิณฯ 1 ปี จึงเห็นควร ยกฎีกา รายนี้เสีย ตามที่กรมราชทัณฑ์เสนอ จึงกราบเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา และนำความขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณาทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทในโอกาสอันควร..
พูดง่ายๆ ว่า ขนาดว่า รัฐมนตรียุติธรรม ยุครัฐบาลเพื่อไทย อุตส่าห์ยกเอาคุณประโยชน์ทั้งหลายของทักษิณมาบรรยาย แถมเชื่อว่าทักษิณยอมรับโทษด้วยสำนึกในการกระทำความผิด (ทั้งๆ ที่ ความจริง ไปอยู่ชั้น 14 จนถูกจับได้ไล่ทัน ถูกศาลสั่งกลับเข้าคุก)
ถึงกระนั้น รมว.ยุติธรรม พันตำรวจเอกทวี สอดส่อง ก็ยังต้องเห็นควร ยกฎีกาดังกล่าว
นั่นคือ เห็นว่า ไม่ควรได้รับอภัยโทษตามที่ทักษิณขอ
นี่ขนาด รมว.ยุติธรรม สมัยรัฐบาลเพื่อไทยเอง ยังต้องยอมจำนนต่อข้อกฎหมายเช่นนี้
แล้วใครอยากจะเสี่ยงหัวกระเด็นหลุดจากบ่า ก็เชิญ
3. คดีนี้ ศาลฎีกาฯ มติเอกฉันท์ มีคำสั่งให้นายทักษิณกลับไปติดคุก 1 ปี ตามพระบรมราชโองการ
องค์คณะศาลฎีกาฯ มีคำตัดสินคดีว่า การส่งตัวนายทักษิณ จำเลยไปรักษาตัวนอกเรือนจำและบังคับโทษไม่เป็นไปตามกฎหมาย จำเลยไม่อาจถือระยะเวลาที่อยู่ในรพ.ตร.เป็นโทษจำคุกจึงต้องบังคับโทษจำคุกจำเลย 1 ปี ตามพระบรมราชโองการ
นั่นแสดงว่า นับรวมเอาการที่นายทักษิณได้รับพระราชทานอภัยลดโทษจำคุก จาก 8 ปี เหลือ 1 ปี ด้วยแล้ว
แล้วเหตุที่ต้องกลับไปเข้าคุก นั่นก็เพราะทักษิณไม่รับโทษจำคุกตามพระราชโองการอย่างถูกต้อง โดยตนเองก็รู้หรือควรรู้
มาวันนี้ จะมาขออภัยโทษเบิ้ล หรือซ้ำอีก
วิญญูชนลองพิจารณาดู ถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ เหมาะสมหรือไม่ สมควรหรือไม่ บังอาจเกินไปหรือไม่?
4. อาจารย์วัส ติงสมิตร อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา ให้ความเห็นชัดเจนบางส่วน ระบุว่า
“1) การพระราชทานอภัยโทษทรงเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ (มาตรา 179 ของรัฐธรรมนูญ 2560)
2) เมื่อคดีถึงที่สุดแล้ว ผู้ต้องคำพิพากษาให้รับโทษอย่างใดๆ หรือผู้ที่มีประโยชน์เกี่ยวข้อง มีสิทธิทูลเกล้าฯ ถวายเรื่องราวต่อพระมหากษัตริย์ขอรับพระราชทานอภัยโทษ โดยจะยื่นต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมก็ได้ (มาตรา 259 แห่ง ป.วิ.อาญา)
3) ผู้ถวายเรื่องราวซึ่งต้องจำคุกอยู่ในเรือนจำสามารถยื่นเรื่องราวต่อพัศดีหรือผู้บัญชาการเรือนจำได้ เมื่อได้รับเรื่องราวนั้นแล้ว ให้พัศดีหรือผู้บัญชาการเรือนจำออกใบรับให้แก่ผู้ยื่นเรื่องราว แล้วให้รีบส่งเรื่องราวนั้นไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม (มาตรา 260)
4) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมมีหน้าที่ถวายเรื่องราวต่อพระมหากษัตริย์พร้อมทั้งถวายความเห็นว่าควรพระราชทานอภัยโทษหรือไม่
ในกรณีที่ไม่มีผู้ใดถวายเรื่องราว ถ้ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเห็นเป็นการสมควร จะถวายคำแนะนำต่อพระมหากษัตริย์ขอให้พระราชทานอภัยโทษแก่ผู้ต้องคำพิพากษานั้นก็ได้ (มาตรา 261)
5) เรื่องราวหรือคำแนะนำขอพระราชทานอภัยโทษแก่ผู้ต้องคำพิพากษาให้ประหารชีวิต ให้ถวายได้แต่ครั้งเดียวเท่านั้น (มาตรา 262 วรรคสอง)
6) เรื่องราวขอพระราชทานอภัยโทษอย่างอื่นซึ่งมิใช่โทษประหารชีวิตถ้าถูกยกหนหนึ่งแล้ว จะยื่นใหม่อีกไม่ได้จนกว่าจะพ้น 2 ปีนับแต่วันถูกยกครั้งก่อน (มาตรา 264)
7) การขอพระราชทานอภัยโทษของนายทักษิณครั้งนี้เกิดจากการที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองไต่สวนและมีคำสั่งเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2568 ว่า การบังคับโทษจำคุกนายทักษิณ ชินวัตร จำเลย ไม่ชอบด้วยกฎหมาย นายทักษิณต้องรับโทษจำคุกตามคำพิพากษาต่อไปอีก 1 ปี นับแต่วันที่ 9 กันยายน 2568
โทษจำคุก 1 ปี ของนายทักษิณจึงเป็นโทษอันเกิดจากการกระทำความผิดในคดีเดิม 3 คดี ซึ่งมีโทษจำคุกรวม 8 ปี โดยนายทักษิณได้ขอพระราชทานอภัยโทษเฉพาะราย และได้รับพระราชทานพระมหากรุณาธิคุณอภัยลดโทษเหลือจำคุกต่อไปอีก 1 ปี ไม่ใช่การลงโทษจากการกระทำความผิดครั้งใหม่ จึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่จะขอพระราชทานอภัยโทษตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 260
นักโทษที่จะขอพระราชทานอภัยโทษครั้งที่ 2 จากการกระทำความผิดครั้งเดียวกันได้ก็แต่เฉพาะการขอครั้งแรกถูกยก และจะมีสิทธิยื่นขออีกก็ต่อเมื่อพ้น 2 ปีนับแต่วันถูกยกครั้งก่อน (มาตรา 264)
นอกจากข้อกฎหมายจะไม่เอื้อให้ขอพระราชทานอภัยโทษได้แล้ว เมื่อพิจารณาถึงพฤติการณ์ที่นายทักษิณทูลเกล้าฯ ขอพระราชทานอภัยโทษครั้งก่อนเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2566 ซึ่งต่อมาศาลฎีกาวินิจฉัยสรุปได้ว่า นายทักษิณไม่ได้ป่วยจนถึงขนาดต้องออกไปรักษานอกเรือนจำ โดยไปอยู่ที่ชั้น 14 อาคารมหาภูมิพลราชานุสรณ์ 88 พรรษา ในบริเวณโรงพยาบาลตำรวจ การบังคับโทษจำคุกนายทักษิณจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
และนายทักษิณก็อาจถูกดำเนินคดีอาญาร่วมกับเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการบังคับโทษจำคุกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายครั้งนี้ด้วย
ยิ่งไม่มีเหตุที่จะยื่นเรื่องราวขอพระราชทานอภัยโทษอีกครั้ง
ทักษิณจึงยื่นขออภัยโทษครั้งที่ 2 ในความผิดที่ได้รับอภัยลดโทษมาแล้วอีกครั้งไม่ได้…”
5. สัปดาห์นี้ น่าจะชัดเจนว่า รัฐมนตรียุติธรรมคนปัจจุบัน จะมีความเห็นและดำเนินการอย่างไร
อย่าลืมว่า อดีตนายกฯ ทักษิณ ติดคุก เพราะคดีทุจริตประพฤติมิชอบคดีหมายเลขแดงที่ อม ๔/๒๕๕๑ คดีหมายเลขแดงที่ อม ๕/๒๕๕๑ และคดีหมายเลขแดง ที่ อม ๑๐/๒๕๕๒ ต้องโทษจำคุก รวม 8 ปี
เมื่ออดีตนายกฯทักษิณกลับมารับโทษ ก็ยังไม่ยอมติดคุกจริงๆ ทั้งๆ ที่ได้รับพระราชทานอภัยลดโทษเหลือจำคุก 1 ปี แต่กลับไปอยู่โรงพยาบาลตำรวจชั้น 14 โดยมิชอบด้วยกฎหมาย ผิดกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง
กระทั่งศาลฎีกาฯ มติเอกฉันท์ มีคำสั่งให้ต้องกลับเข้าคุก โดยต้องรับโทษจำคุก 1 ปี ตามพระบรมราชโองการเดิม
การจะมาถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษเป็นรายบุคคลซ้ำอีก เสมือนจะขอเบิ้ล บังอาจเกินไปหรือไม่
ใครบังอาจกระทำการระคายเคืองฯ เสี่ยงหัวกระเด็นหลุดจากบ่า ก็ลองดู
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี