เมื่อวานนี้ ราคาขายทองรูปพรรณ (96.5%) ในประเทศไทย ทะลุ 6 หมื่นบาทไปเรียบร้อยแล้ว
ถือเป็นครั้งแรกที่ราคาทองคำสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ (แม้ระหว่างวันจะมีความเคลื่อนไหวปรับตัวขึ้น-ลง)
1. ปัจจัยนอกเหนือความต้องการถือครองทองคำในภาพรวมที่เพิ่มขึ้นแล้ว ยังได้แรงหนุนจากความคาดหมายว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะเดินหน้าปรับลดอัตราดอกเบี้ย ประกอบกับความวิตกกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงที่หน่วยงานของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ จะชัตดาวน์ (Government Shutdown กำหนดเส้นตายในวันที่ 30 ก.ย.) และยังมีสถานการณ์ตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ ทำให้นักลงทุนแห่ซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย
ราคาทองคำในตลาดโลกทะลุ 3,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์
2. วันก่อน เพิ่งจะฟันธงไปว่า “ราคาทองคำในบ้านเรา มีโอกาสขึ้นไปถึงบาทละ 60,000 บาท ไม่น้อยเลยทีเดียว... ราคาทองคำรายวันมีขึ้น-มีลง แต่ถ้าดูแนวโน้มราคาทองคำย้อนหลัง ดังที่นำเสนอไว้ จะเห็นว่า ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย และเป็นทรัพย์สินที่มีราคาสูงขึ้นเรื่อยๆ เขาถึงบอกว่า “มีเงินนับเป็นน้อง มีทองนับเป็นพี่...”
3. ถ้าย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ ช่วงที่ราคาทองคำในตลาดโลกแตก 3,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์เป็นครั้งแรก
ตอนนี้ หลายคนก็ไม่อยากจะเชื่อว่าราคาจะถีบตัวสูงขึ้นไปอีกเร็วขนาดนี้
ช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
ตอนนั้น นักวิเคราะห์ จอห์น รีด (John Reade) นักกลยุทธ์การตลาดอาวุโส ประจำยุโรปและเอเชีย สภาทองคำโลก (World Gold Council) เคยให้ความเห็นเกี่ยวกับจุดเปลี่ยนสำคัญของราคาทองคำ ระบุว่า
“...การที่ราคาทองคำทะลุ 3,000 เหรียญสหรัฐฯ นั้น สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทสำคัญของทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยในยามที่ตลาดผันผวน
จากราคา 1,000 เหรียญสหรัฐในช่วงวิกฤตการเงิน สู่ 2,000 เหรียญสหรัฐในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19
โดยทองคำได้พิสูจน์แล้วว่าสามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีในภาวะที่ตลาดมีความเสี่ยงสูง และให้ผลตอบแทนที่น่าพอใจเทียบเคียงได้กับสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ นับตั้งแต่ปี 2514 .
.. นับตั้งแต่ปี 2565 ราคาทองคำไม่ได้เคลื่อนไหวตามทิศทางของอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ และค่าเงินดอลลาร์สหรัฐเหมือนในอดีต เนื่องจากธนาคารกลางทั่วโลกได้เพิ่มปริมาณการซื้อทองคำเป็นสองเท่า ประกอบกับความต้องการลงทุนจากตลาดเกิดใหม่ที่เพิ่มสูงขึ้น
...ธนาคารกลางทั่วโลกเป็นผู้ซื้อทองคำรายใหญ่อย่างต่อเนื่องมาตลอด 15 ปีที่ผ่านมา แต่ในช่วงสามปีที่ผ่านมา ปริมาณการซื้อได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก โดยมียอดซื้อมากกว่า 1,000 ตันต่อปี นับตั้งแต่ปี 2565 และล่าสุดในปี 2567 มียอดซื้อถึง 1,045 ตัน
เราเชื่อว่าปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของการเพิ่มปริมาณขึ้นนี้ ทั้งในแง่ของการลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์สหรัฐ การคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ และความกังวลเรื่องเงินเฟ้อ ท่ามกลางสถานการณ์โลกที่มีการแบ่งขั้วทางอำนาจ การซื้อทองคำของธนาคารกลาง จะยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนความต้องการในตลาด และส่งผลต่อทิศทางของราคาทองคำในระยะยาว
ในขณะเดียวกัน นักลงทุนจากตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets)เริ่มมีอิทธิพลต่อตลาดทองคำมากขึ้น นอกจากแนวโน้มดังกล่าว การปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในช่วงที่ผ่านมายังได้รับแรงหนุนจากความกังวลเกี่ยวกับนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ และความตึงเครียดทางการค้าระหว่างประเทศที่ทวีความรุนแรง ส่งผลให้นักลงทุนหันมาให้ความสนใจทองคำในฐานะเครื่องมือกระจายความเสี่ยงที่สำคัญ”
ตอนนั้น จอห์นฯกล่าวว่า “ประเด็นสำคัญที่ต้องจับตามองในขณะนี้ คือ ราคาทองคำจะสามารถรักษาระดับเหนือ 3,000 เหรียญสหรัฐได้หรือไม่ แม้ว่าสถานการณ์ความเสี่ยงและความไม่แน่นอนที่เพิ่มสูงขึ้นจะช่วยเสริมความเชื่อมั่นในตลาดทองคำ แต่การที่ราคาจะรักษาระดับนี้ได้ จำเป็นต้องเห็นแรงซื้อที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากนักลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากนักลงทุนในประเทศตะวันตก หรือไม่เช่นนั้นก็ต้องมีการเพิ่มปริมาณการซื้อครั้งใหญ่จากกลุ่มธนาคารกลาง”
ผ่านไปไม่กี่เดือน ความจริงปรากฏแล้ว
4. ถ้าใครซื้อทองคำเมื่อต้นปี แล้วมาขายปัจจุบัน จะได้กำไรบาทละกว่า 15,000 บาท
ตอกย้ำว่า ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย ไม่เสื่อมราคา
ราคาระยะยาว มีแต่จะสูงขึ้นทุกปีๆ
ยิ่งค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่า ราคาทองคำยิ่งจะสูงขึ้น
และถ้าค่าเงินบาทอ่อนค่ากว่านี้บ้าง ราคาทองคำในประเทศก็จะยิ่งสูงขึ้นไปอีก
5. ไม่ต้องสงสัยแล้วว่า ราคาทองคำในบ้านเรา จะไปถึง 60,000 บาทหรือไม่? เพราะไปถึงแล้ว
แต่ระยะถัดไป ราคาจะเป็นอย่างไร?
ดูจากภาพที่นำเสนอประกอบ นั่นคือแนวโน้มราคาทองคำในรอบ 10 ปี
จะเห็นว่า แนมโน้มมีแต่จะสูงขึ้นโดยตลอด
แม้บางช่วงจะผันผวน ขึ้น-ลง แต่ภาพรวมก็คือสูงขึ้นตลอด
คำตอบจึงชัดเจนว่า ราคาทองคำโดยภาพรวม มีแนวโน้มจะสูงต่อไปเรื่อยๆ
แม้ใครจะรู้สึกไม่แน่ใจอย่างไรก็ตาม
6. ปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่ง คือ ธนาคารกลางทั่วโลก ล้วนแต่สะสมทองคำมากขึ้นเรื่อยๆ
การสะสมทองคำ ถือเป็นทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศ เป็นเรื่องสำคัญ และมูลค่าสูงขึ้นเรื่อยๆ
ธนาคารกลางของแต่ละประเทศถือครองทองคำไว้เป็นสินทรัพย์สำรองระหว่างประเทศ เพื่อเสริมความมั่นคงทางการเงินของประเทศ สร้างความเชื่อมั่นในค่าเงิน และใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารนโยบายเศรษฐกิจในยามวิกฤต
ทองคำสำรองมีผลต่อราคาทองในระดับภาพรวมของตลาดโลก
ยกตัวอย่าง ประเทศจีน รัสเซีย ต่างเข้าซื้อทองคำจำนวนมาก รวมถึงประเทศไทยด้วย
ข้อดีของทองคำสำรอง คือ ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าคงที่ในระยะยาว ไม่ผันผวนตามค่าเงินหรืออัตราเงินเฟ้อเหมือนเงินตราทั่วไป ทองคำจึงทำหน้าที่ช่วยรักษาความมั่นคงของระบบเศรษฐกิจและสร้างความเชื่อมั่นทั้งในประเทศและในสายตานักลงทุนต่างชาติ
ช่วยป้องกันความเสี่ยงจากวิกฤตเศรษฐกิจ มูลค่าของทองคำจะไม่ผันผวนไปตามสกุลเงินใดโดยเฉพาะ เมื่อเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย ส่งผลให้เงินเฟ้อสูง หรือค่าเงินของประเทศนั้นอ่อนตัวลง แต่ทองคำก็ยังคงรักษามูลค่าในตัวเองไว้ได้ และอาจปรับตัวสูงขึ้นตามปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ทำให้รัฐอาจนำทองคำสำรองไปใช้เสริมสภาพคล่องในระบบการเงินหรือค้ำประกันการกู้ยืมจากต่างประเทศได้อย่างทันท่วงทีในยามวิกฤต
ปัจจุบัน ประเทศที่มีทองคําสํารองมากที่สุด 10 อันดับแรก ได้แก่
สหรัฐอเมริกา มีทองคําสํารองมากที่สุดในโลก อยู่ที่ 8,133 ตัน
เยอรมนี มีทองคําสํารองอยู่ที่ 3,352 ตัน
อิตาลี มีทองคําสํารองอยู่ที่ 2,452 ตัน
ฝรั่งเศส มีทองคําสํารองอยู่ที่ 2,437 ตัน
รัสเซีย มีทองคําสํารองอยู่ที่ 2,333 ตัน
จีน มีทองคําสํารองอยู่ที่ 2,262 ตัน
สวิตเซอร์แลนด์ มีทองคําสํารองอยู่ที่ 1,040 ตัน
ญี่ปุ่น มีทองคําสํารองอยู่ที่ 846 ตัน
อินเดีย มีทองคําสํารองอยู่ที่ 822 ตัน
เนเธอร์แลนด์ มีทองคําสํารองอยู่ที่ 612 ตัน
ส่วนประเทศไทยมีทองคําสํารองอยู่ที่ 234.52 ตัน
มูลค่าทองคำสำรองของไทยอยู่ที่ประมาณ 21.558 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
หรือคิดเป็นประมาณ 7.48% ของทุนสำรองระหว่างประเทศทั้งหมดของประเทศ
แม้จะมีคำกล่าวของนักเศรษฐศาสตร์ว่า “เงินทอง คือมายา ข้าวปลาคือของจริง”
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า “ทองคำ” มีสถานะ มูลค่า และอำนาจ สูงขึ้นทุกวันในยุคที่ผันผวนด้วยภูมิรัฐศาสตร์โลก
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี