วันก่อน ฟันธงว่าราคาทองคำแตะบาทละ 6 หมื่นบาทไปแล้ว ก็จะยังขยับสูงขึ้นไปต่อ
แม้บางช่วงจะผันผวน ขึ้น-ลง แต่ภาพรวมก็คือสูงขึ้นต่อไป
ล่าสุด เมื่อวาน ราคาทองคำก็ยังพุ่งกระฉูด จ่อแตะ 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อยู่รอมร่อ
ราคาทองคำแท่งในบ้านเรา แตะ 59,400 บาท (ช่วงเช้า)
ราคาทองคำรูปพรรณแตก 60,200 บาท (ช่วงเช้า)
แถมค่าเงินบาทเริ่มอ่อนค่าลงหน่อย ราคาทองคำในไทยก็มีปัจจัยหนุนเพิ่มอีก
1. ล่าสุด UBS คาด ราคาทองคำจะพุ่งแตะ4,200 ดอลลาร์/ออนซ์ ภายในกลางปี’69
UBS ออกบทวิเคราะห์ ระบุว่า ตลาดทองคำกำลังมีแนวโน้มเข้าสู่ “ภาวะกระทิง” (Bull Case) ซึ่งอาจผลักดันให้ราคาทะยานขึ้นแตะระดับ 4,200 ดอลลาร์ (ประมาณ 136,000 บาท) ต่อออนซ์ ได้ภายในกลางปี 2569
ปัจจัยหนุนสำคัญมาจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลง แรงซื้อทองคำจำนวนมากจากธนาคารกลางทั่วโลก และเม็ดเงินลงทุนที่ไหลเข้ากองทุน ETF ทองคำอย่างต่อเนื่อง
2. สมมุติ ถ้าทองคำ 4,200 ออนช์จริง ราคาทองคำแท่งในบ้านเราจะขึ้นไปอยู่ที่เท่าไหร่?
หากคิดที่ค่าเงินบาท 32 บาทต่อดอลลาร์
เท่ากับว่า ราคาทองคำในบ้านเราจะขึ้นไปอยู่ที่บาทละประมาณ 63,800 บาท (ทองคำแท่ง) !!!!
ถามว่า มีโอกาสเป็นไปได้หรือไม่
ตอบว่า มีโอกาสเป็นไปได้จริง
3. การเพิ่มช่องทางการออมเงินให้ประชาชน
เมื่อวาน ติดตามการแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา ก็พบว่ามีหลายเรื่องน่าสนใจ โดยเฉพาะนโยบายเศรษฐกิจ
ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หัวหน้าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลนายกฯ อนุทิน ชาญวีรกูล แจกแจงไว้ชัดเจน
ระบุว่า จะมีทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่จะมี “Quick Big Win” รับมือภาวะเศรษฐกิจที่กำลังชะลอรุนแรง เพื่อพาเศรษฐกิจไทยออกจากสภาพ “รถติดหล่ม” เครื่องยนต์แผ่วๆ เกือบทุกตัวตอนนี้ ทั้งส่งออก การบริโภคภาคเอกชน การลงทุนภาคเอกชน (ยังใช้กำลังการผลิตภาคอุตสาหกรรมไม่ถึง 60%) ตอนนี้ เหลือเครื่องยนต์เดียวคือ การใช้จ่ายรัฐบาล
“หากไม่ใช้เครื่องยนต์เดียวที่มีอยู่ เศรษฐกิจจะไม่เพียงแค่ติดหล่ม แต่จะ “ดิ่งเหวเลย” และความเสียหายจะแก้ไขยากขึ้น” – รมว.คลังกล่าว
มาตรการเติมเงินเข้ากระเป๋าชาวบ้าน คนละครึ่งบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ลดค่าครองชีพ เพิ่มรายได้ แก้หนี้ครัวเรือน ฯลฯ
ทั้งหมด ก็ขอเอาใจช่วย ถ้าแก้ได้จริง ดีทั้งนั้น
แต่วันนี้ ที่อยากจะยกมาคุยเสียหน่อยวันนี้ คือการเพิ่มช่องทางการออมเงินให้ประชาชน
รัฐบาลนายกฯอนุทิน มีนโยบายเพิ่มการออมภาคประชาชนด้วย
โดยระบุว่า จะนำหลักการออมผูกกับการซื้อสลากออนไลน์ โดยสัดส่วนเงินออมจะถูกเก็บไว้ใช้ระยะยาว เช่น อายุ 55 ปี ถือ 5 ปี โดยจะสนับสนุนวงเงินสมทบจากการหักจากค่าการตลาดของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล
รวมทั้งให้ประชาชนรายย่อยเข้าถึงพันธบัตรออมทรัพย์รัฐบาลทุกเดือน เป็นทางเลือกการออมระยะยาวที่ผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปี สูงกว่าการฝากเงินธนาคาร ฯลฯ
อันนี้ เห็นว่า น่าสนใจมาก
ถือว่า รัฐบาลมาถูกทาง เพราะประชาชนในประเทศมีทั้งคนขาดเงิน และคนที่มีเงินออม
คนที่มีเงินออมฝากไว้ในธนาคาร อัตราดอกเบี้ยต่ำมาก
จริงๆ น่าจะแพ้เงินเฟ้อด้วยซ้ำ
เราจึงเห็นประชาชนสนใจออมเงินผ่านสินทรัพย์ที่ปลอดภัยอย่าง “ทองคำ” มากขึ้นช่วงหลัง
ถ้ารัฐบาลหาทางเลือกการออมให้ประชาชนเพิ่มเติม ที่มีความสะดวก ปลอดภัย และมีผลตอบแทนที่สมเหตุสมผลย่อมเป็นเรื่องที่ดี
ที่ผ่านมา คนส่วนใหญ่มองว่าพันธบัตรรัฐบาลผลตอบแทนต่ำ แต่ความจริงไม่ใช่เช่นนั้นเสมอไป
4. คุณ วชิรเมษฐ์ ธเนศสถิตพงศ์ ได้เผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับการลงทุนผ่านพันธบัตรในยุคปัจจุบัน
น่าสนใจ และอาจทำให้หลายคนแปลกใจ
ว่าด้วยเรื่อง “ใครจะเชื่อ? พันธบัตรไทย 1 ปี ให้ผลตอบแทนแรงกว่า 11–14%”
เนื้อหาบางส่วน ระบุว่า
“...หลายคนที่ไม่เคยลงทุน อาจเข้าใจว่า พันธบัตรรัฐบาล = ผลตอบแทนต่ำ เพราะมันคือสินทรัพย์ที่เสี่ยงต่ำที่สุด
แต่ความจริงคือ… ทุกสินทรัพย์มี “วัฏจักร”ของมันเอง บางช่วงหุ้นเด่น บางช่วงทองมาแรง และบางช่วง…พันธบัตรก็กลายเป็นพระเอก
พันธบัตรรัฐบาลไทยปีที่ผ่านมา : ให้ผลตอบแทนสูงกว่าที่คิด
พันธบัตรรัฐบาลไทยอายุ 10 ปี ให้ดอกเบี้ยเพียง ~2%
ในขณะที่พันธบัตรสหรัฐฯ 10 ปี ให้ผลตอบแทนถึง 4%
แต่ทำไมนักลงทุนต่างชาติยังแห่ซื้อพันธบัตรไทย?
2 เหตุผลหลัก
ดอลลาร์อ่อนค่า ➝ การถือดอลลาร์เท่ากับขาดทุนค่าเงินเรื่อยๆ นักลงทุนจึงหันหาสกุลเงินที่แข็งแรงกว่า
ภูมิคุ้มกันของเศรษฐกิจไทย ➝ ไทยมีเงินสำรองระหว่างประเทศสูง มีทองคำสำรอง และเกินดุลบัญชีเดินสะพัดต่อเนื่อง ทำให้ความน่าเชื่อถือสูง
เมื่อรวมกันแล้ว “ความเสี่ยงต่ำ + ค่าเงินแข็ง” ทำให้ผลตอบแทนจากการถือพันธบัตรไทย คุ้มค่ากว่าพันธบัตรสหรัฐฯ...”
5. จะเห็นว่า พันธบัตรรัฐบาล ก็เป็นทางออกในการลงทุนและการออมที่น่าสนใจได้เหมือนกัน
ต้องรอติดตามแนวทางการดำเนินการของรัฐบาล จะมีรูปแบบ วิธีการ รายละเอียดเป็นอย่างไร
เห็นว่า จะมีทั้งสลากออมทรัพย์ และการซื้อพันธบัตรรัฐบาลด้วย
ถ้ารัฐบาลเพิ่มทางออกการออมและการลงทุนให้กับประชาชนได้ดี ย่อมทำให้ระบบเศรษฐกิจของประเทศทำงานได้มีประสิทธิภาพตามไปด้วย
ดีกว่าเอาเงินไปฝังตุ่มแบบยุคโบราณแน่ๆ
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี