นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน (พรรคส้ม) ให้สัมภาษณ์นิตยสาร TIME กล่าวอ้างว่ามาตรา 112 เป็นต้นตอปัญหาในประเทศไทย และถ้ามีอำนาจเมื่อไหร่ จะแก้ไขกฎหมายนี้
แต่พยายามบิดประเด็นว่า จะแก้กฎหมายตามกรอบคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ
แถมฉวยโอกาสพาดพิงในทำนองว่า จะต้องปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์
1. พรรคส้ม ยังพยายามหาเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่รู้จักหยุดหย่อน
ฉวยโอกาสเซาะกร่อนบ่อนทำลาย เหมือนเด็กเอาแต่ใจ
ทั้งๆที่ ศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยชี้ขาดไปแล้ว
พรรคส้มก็เคยพยายามทั้งจะแก้รัฐธรรมนูญ จะออกกฎหมายนิรโทษกรรมรวมคดีมาตรา 112 แต่ก็ไม่ผ่านการพิจารณาตามกลไกของรัฐสภา (ตอนถามความเห็นประชาชน ส่วนใหญ่ก็ไม่เห็นด้วยกับแนวทางพรรคส้ม)
2. วันนี้ หัวหน้าพรรคส้มพยายามบิดประเด็น อ้างว่าจะแก้มาตรา 112 ตามกรอบคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ
ทั้งๆ ที่ ความจริง ศาลรัฐธรรมนูญไม่เคยบอกว่ามาตรา 112 มีปัญหาต้องแก้ไข
ตรงกันข้าม ศาลรัฐธรรมนูญชี้ชัดถึงขบวนการเซาะกร่อนบ่อนทำลาย อ้างว่าจะแก้มาตรา 112 เพื่อปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่แท้จริง คือ ส่วนหนึ่งของขบวนการล้มล้างการปกครอง
คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ (เรื่องพิจารณาที่ 17/2566) ชี้ขาดว่า การกระทำของพรรคก้าวไกล (พรรคส้ม) เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข สั่งการให้เลิกการกระทำ และยุบพรรคก้าวไกลไปแล้ว
อีกทั้งไม่ให้มีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ด้วยวิธีการซึ่งไม่ใช่กระบวนการทางนิติบัญญัติโดยชอบต่อไปในอนาคตด้วย
สาระสำคัญที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยชี้ขาดไว้ (คำวินิจฉัยถือเป็นที่สุด มีผลผูกพันทุกองค์กร) ดังนี้
(1) ศาลรัฐธรรมนูญยืนยันในคำวินิจฉัย 3/2567 วันที่ 31 ม.ค.2568 วินิจฉัยว่า
“...การที่สส.สังกัดพรรคผู้ถูกร้องเพียงพักเดียว รวม 44 คน เสนอร่างแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา(ฉบับที่...พ.ศ....)(แก้ไขเกี่ยวกับฐานความผิดหมิ่นประมาท)ยื่นต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร โดยมีเนื้อหาแก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 112 จากเดิมที่เป็นหมวด 1 ลักษณะ 1 ความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรให้เป็นลักษณะ 1/2 ความผิดเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ ของพระมหากษัตริย์ ของพระราชินีลักษณะญาติและพระเกียรติยศของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และเสนอเพิ่มบทมาตราให้ผู้กระทำผิดพิสูจน์เหตุยกเว้นความผิดและเหตุยกเว้นโทษ อีกทั้งให้ความผิดตามมาตรา 112 เป็นความผิดอันยอมความได้ โดยให้สำนักพระราชวังเป็นผู้ร้องทุกข์และให้ถือว่าเป็นผู้ใช้เพียงหน่วยงานเดียว
ผู้ถูกร้องใช้นโยบายพรรคที่มีเนื้อหาในลักษณะทำนองเดียวกับร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวระหว่างการหาเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป 2566 และยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง
ทั้งยังมีพฤติการณ์รณรงค์ทางการเมืองโดยการเข้าร่วมชุมนุมจัดกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการให้ยกเลิกหรือแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112
และมีกรรมการบริหารพรรคสส.สมาชิกพรรคผู้ถูกร้องเป็นนายประกันผู้ต้องหาหรือจำเลยในคดีความผิดประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112
หรือตกเป็นผู้ต้องหาในความผิดดังกล่าวเสียเอง
และแสดงความคิดเห็นในการแก้ไขหรือยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ผ่านกิจกรรมทางการเมืองหรือสื่อสังคมออนไลน์ หลายครั้ง อันเป็นความมุ่งหมายใช้สิทธิ์เสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง
และศาลรัฐธรรมนูญสั่งการให้ผู้ถูกร้องเลิกการแสดงความคิดเห็น การเขียน การพิมพ์ การโฆษณาและการสื่อความหมายโดยวิธีอื่นเพื่อให้มีการยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 อีกทั้งไม่ให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ด้วยวิธีการซึ่งมิใช่กระบวนการนิติบัญญัติโดยชอบจะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต
...เมื่อศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยข้อเท็จจริงตามคำวินิจฉัยที่ 3 / 2567 ว่า ผู้ถูกร้องมีส่วนร่วมการกระทำหลายพฤติการณ์ประกอบกันต่อเนื่องเป็นกระบวนการ ตั้งแต่เสนอร่างกฎหมายฯที่มีเนื้อหาลดทอนคุณค่าสถาบันพระมหากษัตริย์ และใช้เป็นนโยบายและในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง การชุมนุมเรียกร้อง การจัดกิจกรรมทางการเมือง การรณรงค์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์หากยังปล่อยให้ผู้ถูกร้องกระทำการต่อไปย่อมไม่ไกลเกินเหตุที่จะนำไปสู่การล้มล้างการปกครองฯ การกระทำของผู้ถูกร้องจึงเป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองฯ โดยเป็นความผิดสำเร็จตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 แม้ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญสั่งการให้เลิกการกระทำและผู้ถูกร้องได้นำนโยบายออกจากเว็บไซต์ของพรรคผู้ถูกร้องก็ตาม…”
(2) “...เมื่อข้อเท็จจริงตามคำวินิจฉัยที่ 3/2567 ฟังเป็นยุติแล้วว่า การเสนอร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา ฉบับที่ .. พ.ศ. … (แก้ไขความผิดฐานหมิ่นประมาท) เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2564 มีเนื้อหาลดทอนคุณค่าสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นการดำเนินการโดยสส.สังกัดพรรคผู้ถูกร้องทั้งสิ้นเพียงพรรคเดียว และผู้ถูกร้องเบิกความต่อศาลยอมรับว่านำเสนอนโยบายทำนองเดียวกับร่างนโยบายดังกล่าวต่อผู้ร้อง โดยใช้เป็นนโยบายรณรงค์หาเสียงการเลือกตั้งสส. และนโยบายนี้ปรากฏอยู่บนเว็บไซต์พรรค
ถือได้ว่าผู้ถูกร้องได้ร่วมกับสมาชิกสส.สังกัดพรรคผู้ถูกร้อง เสนอนโยบายดังกล่าว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้ถูกร้องเสนอนโยบายแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ยื่นต่อผู้ร้องและใช้เป็นนโยบายของพรรคหาเสียง การรณรงค์ การแสดงความคิดเห็นบนเวทีปราศรัยหรือสื่อสังคมออนไลน์หลายครั้ง หรือเป็นนายประกันผู้ต้องหาหรือจำเลยคดีมาตรา 112 หรือเป็นผู้ต้องหาและจำเลยความผิดดังกล่าวเสียเอง
แม้การกระทำต่างๆ เหล่านี้จะไม่ได้กระทำโดยกรรมการบริหารพรรค แต่คณะกรรมการบริหารพรรคมีหน้าที่ควบคุมกำกับดูแลไม่ให้สมาชิกพรรคกระทำการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายเช่นนี้ จึงเป็นการกระทำที่มุ่งหวังผลักดันเพื่อให้นโยบายของพรรคผู้ถูกร้องสำเร็จลงตามความมุ่งหมาย
ถือเป็นการกระทำความผิดโดยอ้อมของพรรคผู้ถูกร้อง โดยใช้สส.หรือสมาชิกพรรคเป็นตัวแทนหรือเป็นเครื่องมือในการกระทำผิด…”
(3) “...ผู้ถูกร้องลงนามข้อตกลงร่วมจัดตั้งรัฐบาล และสัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวเกี่ยวกับนโยบายพรรคในการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
และแสดงบทบาทเคลื่อนไหวทางการเมืองสอดรับกับกลุ่มการเมืองต่างๆ โดยการรณรงค์ ปลุกเร้า ยุยง ปลุกปั่น เพื่อสร้างกระแสสังคมให้ร่วมสนับสนุนการยกเลิกหรือแก้ไข ซึ่งอาจก่อให้เกิดความขุ่นเคืองขึ้นในหมู่ประชาชน และนำมาซึ่งความแตกแยกระหว่างชนในชาติ อันมีลักษณะยุยงให้เกิดการเกลียดชัง
ย่อมส่งผลให้หลักการคุณค่าของรัฐธรรมนูญที่รองรับการดำรงอยู่ของการปกครองระบอบประชาธิปไตยฯซึ่งเป็นอัตลักษณ์ของรัฐต้องถูกล้มเลิกและสูญเสียไป ผู้ถูกร้องไม่อาจหลีกเลี่ยงความรับผิดได้
ข้อโต้แย้งของผู้ถูกร้อง จึงไม่อาจรับฟังได้…”
(4) “…การกระทำของผู้ถูกร้องเป็นการกระทำอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือไม่นั้น
เห็นว่า การกระทำอันเป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ย่อมร้ายแรงกว่าการกระทำอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เนื่องจากการกระทำอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองหมายถึงจะทำตนต่อต้าน เป็นฝ่ายตรงข้าม ฉะนั้นเมื่อข้อเท็จจริงตามคำวินิจฉัยที่ 3/2567 รับฟังได้ว่าผู้ถูกร้องกระทำการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ย่อมเป็นการกระทำอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขด้วย
เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยไว้ในคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2567 ว่า คำว่าปฏิปักษ์ไม่จำเป็นจะต้องรุนแรงถึงมีเจตนาที่จะล้มล้างทำลายให้สิ้นไป ทั้งยังไม่จำเป็นต้องถึงขนาดตั้งตนเป็นศัตรูหรือฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น เพียงแค่เป็นการกระทำที่มีลักษณะเป็นการขัดขวางหรือสกัดกั้นมิให้เจริญก้าวหน้า หรือเป็นการกระทำที่ก่อให้เกิดผลเป็นการเซาะกร่อนบ่อนทำลายและอ่อนแอลง ก็เข้าลักษณะของการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์แล้ว การนำสถาบันพระมหากษัตริย์ไปใช้เพื่อความได้เปรียบและมุ่งหวังผลประโยชน์ทางการเมือง จึงเป็นการกระทำที่อาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2567 ว่าพฤติการณ์ของผู้ถูกร้องที่เสนอร่างแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และใช้เป็นนโยบายพรรคในการหาเสียงเลือกตั้งโดยใช้ประโยชน์จากสถาบันพระมหากษัตริย์เพื่อหวังผลคะแนนเสียงและชนะการเลือกตั้ง เป็นการมุ่งหมายให้สถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ในฐานะผู้ขัดแย้งกับประชาชน ผู้ถูกร้องมีเจตนาเซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์หรือทำให้อ่อนแอลง อันนำไปสู่การล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขในที่สุด
การกระทำของผู้ถูกร้องจึงเข้าลักษณะการกระทำอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอีกด้วย…”
3. วันนี้ หัวหน้าพรรคส้ม ยังบังอาจให้สัมภาษณ์ถึงการจะแก้มาตรา 112 และกระทบถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ ทั้งๆ ที่ ตนเองมีสถานะเป็นถึงผู้นำฝ่ายค้าน
ทั้งๆ ที่ ควรรู้ทั้งรู้ ว่าวาทกรรมเรื่องปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์นั้น คือ วาทกรรมเซาะกร่อนบ่อนทำลายของขบวนการสามนิ้ว เพื่อจาบจ้วง ใส่ร้ายป้ายสีสถาบันด้วยความเท็จ
หลายคนถูกดำเนินคดี หลายคนถูกพิพากษาความผิด หลายคนหลบหนีคดีหนีคุกไปต่างประเทศ ฯลฯ
พวกที่ปากดี ก็ยังอ้างหน้าด้านปั่นกระแส ด้วยการพูดหลอกเด็ก ในลักษณะว่า “เลิกมาตรา 112 สิ จะเล่าให้ฟัง” ทั้งๆ ที่ พวกหนีคดีไปอยู่ต่างประเทศ อยู่นอกเขตอำนาจคดี 112 แล้ว ก็ยังไม่มีปัญญาหาหลักฐานใดๆ มายืนยันเรื่องโกหกให้ร้ายสถาบันได้เลย
วาทกรรมเช่นนี้ จึงมีไว้หลอกเด็ก และหวังกลบเกลื่อนความเบาปัญญาของพวกที่มีอคติต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ไปวันๆ
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี