รู้อะไรไม่เท่า... รู้งี้

ช่วงนี้ สังคมตื่นทอง คือ ตื่นเต้นกับราคาทองคำ ที่ทำสถิติใหม่

ราคาพุ่งไปถึงบาทละ 57,000 บาทแล้ว

สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์

1. ถ้าใครซื้อทองคำเมื่อต้นปี แล้วมาขายปัจจุบัน จะได้กำไรบาทละกว่า 14,600 บาท

หรือราคาขยับสูงขึ้นไปแล้ว 33%

การลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงถึง 33% นับว่าไม่ขี้เหร่เลย

2. คนสนใจจะลงทุนซื้อทองคำเก็บ เหตุผลส่วนหนึ่ง เพราะทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย ไม่เสื่อมราคา

ราคาระยะยาว มีแต่จะสูงขึ้นทุกปีๆ

ลองดูตารางราคาทองคำย้อนหลัง ที่นำมาให้ชม จะเห็นว่า ย้อนกลับไปปี 2509ทองคำบาทละ 414 บาท !!!!

10 ปีต่อมา... ปี 2519 ราคาทองคำขยับขึ้นเป็นบาทละ 1,379 บาท

10 ปีต่อมา... ปี 2529 ราคาทองคำขยับขึ้นเป็นบาทละ 4,708 บาท

ช่วงนั้น จำได้ว่าเงินเดือนคนจบปริญญาตรีอยู่ราวๆ 3 พันกว่าบาท

20 ปีต่อมา... ปี 2549 ราคาทองคำขยับขึ้นเป็นบาทละ 12,900 บาท

ถัดมาอีก 10 ปี... ปี 2559 ราคาทองคำขยับขึ้นเป็นบาทละ 22,800 บาท

ล่าสุด ก.ย.2568 ราคาทองคำขยับขึ้นเป็นบาทละ 57,000 บาท

3. ปัจจัยที่ทำให้ราคาทองคำพุ่งสูงขึ้นต่อเนื่อง เพราะนักลงทุนเข้าซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย

จากความไม่แน่นอนด้านภูมิรัฐศาสตร์ รัสเซีย-ยูเครนคงรบกันต่อ ล่าสุด องค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (NATO) เตือนรัสเซียว่าจะใช้เครื่องมือทางทหารที่จำเป็นทั้งหมดเพื่อปกป้องตนเอง หลังรัสเซียละเมิดน่านฟ้าของเอสโตเนีย ซึ่งเป็นชาติสมาชิก NATO

คาดกันว่า ธนาคารกลางทั่วโลกยังคงจะเดินหน้าซื้อทองคำเก็บเป็นทุนสำรองต่อไป

รวมถึงคาดกันว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะเดินหน้าปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก ในการประชุมเดือนต.ค.และเดือนธ.ค. (หลังจากที่เฟดได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเมื่อวันที่ 17 ก.ย. )

นี่ขนาดว่า ค่าเงินบาทแข็งมาก ซึ่งถ้าค่าเงินบาทอ่อนกว่านี้ ราคาทองคำในประเทศไทยจะพุ่งสูงกว่านี้อีก

4. ข้อสงสัยว่า ราคาทองคำในบ้านเรา จะไปถึง 60,000 บาทหรือไม่? เป็นข้อสงสัยที่ไม่เกินความจริง

ถ้าราคาทองคำในบ้านเราจะถึงบาทละ 60,000 บาท หมายความว่า ราคาทองคำในตลาดโลกจะต้องไปอยู่ที่ราวๆ 4,000 ดอลลาร์ต่อออนช์ (ค่าเงินบาทอยู่ที่ 32 บาทต่อดอลลาร์)

คุณประกิต สิริวัฒนเกตุ กรรมการผู้จัดการ บล.เมอร์ชั่นพาร์ทเนอร์ จำกัด(มหาชน) วิเคราะห์ไว้น่าสนใจ

ว่าด้วยเรื่อง “ทองคำจะไปถึง 4,000 เหรียญเพราะอะไร” สาระสำคัญบางส่วน ระบุว่า

“ดูเหมือนแรงซื้อทองคำของธนาคารกลางต่างๆ จะชะลอตัว การประเมินล่าสุด (Nowcast) ของความต้องการทองคำจากธนาคารกลางและสถาบันต่างๆ ในตลาด OTC ลอนดอน เดือนมิถุนายน อยู่ที่ 16 ตัน ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยคาดการณ์ปี 2025 ที่ 80 ตัน/เดือน

สอดคล้องกับ รูปแบบฤดูกาล ที่ผ่านมา การเข้าซื้อทองคำของธนาคารกลางมักจะ ชะลอตัวในช่วงฤดูร้อน และกลับมาเร่งขึ้นอีกครั้งตั้งแต่เดือนกันยายน

ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน (YTD) มีการซื้อทองเฉลี่ย 66 ตัน/เดือน ต่ำกว่าคาดการณ์เล็กน้อย

แต่รูปแบบตามฤดูกาล ยังคงสนับสนุนมุมมองเดิมของ Goldman Sachs ที่ว่า แนวโน้มการซื้อทองคำของธนาคารกลางยังแข็งแกร่ง

ราคาทองคำได้เคลื่อนไหวในกรอบ 3,200 – 3,450 ดอลลาร์/ออนซ์ ตั้งแต่เดือนเมษายน ราคาเริ่มแกว่งตัวออกข้างและดูเหมือนกำลังถูกกดดันมากขึ้นเรื่อยๆ

ก่อนหน้านี้ การปรับขึ้นของราคามาจาก สถานะเก็งกำไร (speculative netlongs) ที่สูงเกินไป แต่ได้ถูกลดลงหลัง margin call ในช่วง “Liberation Day” และกลับมาสู่ระดับค่าเฉลี่ยระยะยาว

ขณะนี้ กระแสเงินไหลเข้ากองทุน ETF ทองคำ (ETF inflows) กลายเป็นฐานรองรับราคาแทน ทำให้ราคาทองแม้จะนิ่ง แต่มีความมั่นคงมากขึ้น

Goldman Sachs ยังคงคาดการณ์ราคาทองคำที่ 4,000 ดอลลาร์/ออนซ์ ภายในกลางปี 2026 ขับเคลื่อนโดยความต้องการทองคำจากธนาคารกลางที่แข็งแกร่ง และการผ่อนคลายนโยบายการเงินของ Fed และความเสี่ยงเศรษฐกิจสหรัฐฯ ถดถอยใน 12 เดือนข้างหน้าที่ระดับ 30%

ความเสี่ยงหลักของทองคำในตอนนี้คือข้อตกลงสันติภาพรัสเซีย–ยูเครน หากการประชุมไตรภาคี สหรัฐ-รัสเซีย-ยูเครน บรรลุผล เกิดข้อตกลงสงบศึกได้จริง Goldman Sachs ประเมินว่าอาจทำให้เกิดแรงขายจากนักเก็งกำไร และส่งผลให้ราคาทองคำ ปรับลงชั่วคราวราว 3%

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยพื้นฐานจะไม่ได้รับผลกระทบถาวร โดยเฉพาะ “อายัดเงินทุนสำรองของธนาคารกลางรัสเซียในปี 2022” ได้สร้าง บรรทัดฐานใหม่ด้านความปลอดภัยของสินทรัพย์ทำให้ผู้จัดการทุนสำรองจำนวนมาก โดยเฉพาะในเอเชีย มีแนวโน้มสะสมทองคำต่อเนื่องอย่างน้อยอีก 3 ปี

ข้อมูลสำรวจจาก World Gold Council สะท้อนว่า 95% ของธนาคารกลางที่ถูกสำรวจ (เพิ่มจาก 81% ในปี 2024) คาดว่า การถือครองทองคำทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นใน 12 เดือนข้างหน้า 43% วางแผนเพิ่มการถือครองทองคำของตนเอง (สูงที่สุดนับตั้งแต่เริ่มสำรวจปี 2018 และเพิ่มจาก 29% ในปี 2024) และไม่มีธนาคารกลางใดวางแผนลดการถือครองทองคำ

ต่อให้สงครามรัสเซียจะจบลง ทองคำรัสเซียยังคงเข้าสู่ตลาดโลก ทองคำที่ผลิตในรัสเซียแม้จะถูกคว่ำบาตร แต่ยังคงเข้าสู่ตลาดโลกผ่านการเปลี่ยนเส้นทางการส่งออก (rerouting) ผ่านประเทศ CIS (อาร์เมเนีย, คาซัคสถาน, อุซเบกิสถาน), สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และฮ่องกง

ปริมาณส่งออกทองคำจากรัสเซีย (เมื่อคำนวณรวมการ rerouting) สูงกว่าค่าเฉลี่ยก่อนโควิด ราคาทองคำที่สูง, รายได้จากพลังงานที่อ่อนแอลง, และความต้องการเงินทุนสำหรับการทหารที่สูงขึ้น ล้วนสนับสนุนให้รัสเซียเร่งขายทองคำ บทเรียนจากช่วงโควิด เมื่อรายได้จากน้ำมันและก๊าซลดลง การส่งออกทองคำรัสเซียพุ่งขึ้นทดแทน

หากมาตรการคว่ำบาตรถูกยกเลิก รัสเซียจะมีแรงจูงใจน้อยลงที่จะพึ่งพาการขายทองคำ และการส่งออกทองคำรัสเซียอาจลดลงเมื่อการค้าปกติฟื้นตัว

นอกจากนั้น ทองคำยังมีแรงหนุนจากการส่งสัญญาณการลดดอกเบี้ยของ Fed สัญญาณจากประธาน Fed เจอโรม พาวเวลล์ ที่ Jackson Hole ที่ระบุว่า “แนวโน้มเศรษฐกิจพื้นฐานและสมดุลความเสี่ยงที่เปลี่ยนไปอาจทำให้จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนนโยบายการเงิน” เป็นการบอกว่าประตูสู่ดอกเบี้ยขาลงได้เปิดขึ้นแล้ว

ตลาดเชื่อว่า Fed จะต้องลดดอกเบี้ยใน ก.ย. - ธ.ค. นี้อย่างน้อย 2 ครั้ง และลดต่อเนื่องอีกราว 4 ครั้ง ในปี 2026 ส่งผลให้ Terminal rate จะไปอยู่ที่ 3%

ที่น่าสนใจคือ ประธาน ECB คริสเตียน ลาการ์ด ยืนยันว่า ECB จะหยุดลดดอกเบี้ย และ ประธาน BOJ อูเอดะ ส่งสัญญาณอาจขึ้นดอกเบี้ย นโยบายที่แตกต่างของธนาคารกลางทำให้ US Dollar มีแนวโน้มอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง (เกิดการขายดอลลาร์เพื่อเอาเงินไปฝากในสกุลที่ดอกเบี้ยมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น)

ภายใต้นโยบายการเงินผ่อนคลาย (ดอกเบี้ยขาลง) และ US Dollar อ่อนค่า ถือเป็นปัจจัยบวกต่อทองคำโดยตรง เพราะราคาทองคำจะเทียบกับ US Dollar โดยตรง เมื่อ US Dollar แข็งค่า ทองคำในสกุลอื่นจะมีค่าถูกลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์ ตรงกันข้ามกับ US Dollar อ่อนค่า จะส่งผลให้ราคาทองคำในสกุลอื่นจะแพงมากขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์

ส่วนความสัมพันธ์กับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ (US Bond Yield) ทองคำไม่ก่อให้เกิดดอกเบี้ยหรือต้นผลตอบแทน นักลงทุนจึงมักเปรียบเทียบกับ “สินทรัพย์ปลอดภัยที่มีดอกเบี้ย” อย่างพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ เมื่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตรสูงขึ้นการถือพันธบัตรให้ผลตอบแทนดีกว่าถือทองคำ เพราะมีเรื่อง “ต้นทุนค่าเสียโอกาส”

ดังนั้น เมื่อ US Bond Yield ลดลง เช่น ในช่วงที่ Fed ลดดอกเบี้ย ค่าเสียโอกาสของการถือทองหายไป ทองคำจะน่าสนใจมากขึ้น

ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่ตลาดให้ความสำคัญคือ Real Yield หรืออัตราผลตอบแทนแท้จริง (ผลตอบแทนพันธบัตรหักด้วยเงินเฟ้อคาดการณ์) เพราะทองคำถูกใช้เป็นเครื่องป้องกันเงินเฟ้อ (inflation hedge) การที่ Real Yield ลดลงจึงมักหนุนให้ราคาทองปรับขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

การลงทุนในทองคำ จึงควรต้องคำนึงถึงเรื่องแนวโน้มอัตราดอกเบี้ย หากดอกเบี้ยเป็นขาลง การลงทุนจะได้เปรียบมากกว่าตอนดอกเบี้ยขาขึ้น

และที่สำคัญต้องคำนึงถึงอัตราแลกเปลี่ยนด้วย หากช่วงไหน US Dollar มีการอ่อนค่า ราคาทองคำในตลาดโลก (สกุลดอลลาร์) จะปรับเพิ่มขึ้น แต่เมื่อเทียบกับสกุลท้องถิ่น เช่น เงินบาทที่กำลังแข็งค่า ราคาทองคำในรูปบาทอาจไม่ปรับเพิ่มขึ้นเลยก็เป็นได้ ในทางตรงกันข้ามหาก US Dollar มีแนวโน้มแข็งค่า ราคาทองคำโลก (สกุลดอลลาร์) จะปรับลดลง จะเป็นโอกาสในการลงทุนทองคำในรูปบาท เพราะจะได้การอ่อนค่าของเงินบาทเป็นตัวช่วยทำให้ราคาปรับสูงขึ้น...” - ประกิต สิริวัฒนเกตุ กรรมการผู้จัดการ บล.เมอร์ชั่นพาร์ทเนอร์ จำกัด(มหาชน)

5. ดูแล้ว ราคาทองคำในบ้านเรา มีโอกาสขึ้นไปถึงบาทละ 60,000 บาท ไม่น้อยเลยทีเดียว

ยิ่งไทยเรามีรัฐบาลใหม่ จะไปเลือกตั้ง ต้องกระตุ้นเศรษฐกิจ คงหาทางทำค่าเงินบาทให้อ่อนกว่านี้แน่ๆ

อย่างไรก็ตาม การลงทุนมีความเสี่ยง พึงระมัดระวัง พิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน

เพราะราคาทองคำรายวันมีขึ้น-มีลง

แต่ถ้าดูแนวโน้มราคาทองคำย้อนหลัง ดังที่นำเสนอไว้ จะเห็นว่า ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย และเป็นทรัพย์สินที่มีราคาสูงขึ้นเรื่อยๆ

เขาถึงบอกว่า “มีเงินนับเป็นน้อง มีทองนับเป็นพี่”

สารส้ม