กรณี น.ช.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ยื่นขอพระราชทานอภัยโทษเฉพาะราย เป็นครั้งที่ 2 เป็นประเด็นถกเถียงว่า สามารถกระทำได้หรือไม่? ซ้ำซ้อนหรือไม่?
ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาทหรือไม่?
1. สลค.ตีกลับให้ทบทวน
เมื่อทักษิณยื่นทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาอภัยโทษครั้งที่ 2 (สมัย รมว.ยุติธรรม พ.ต.อ.ทวี) แต่มีรายงานข่าวว่า ทาง “สลค.” ได้ส่งกลับหนังสือให้ทางกระทรวงยุติธรรมพิจารณาทบทวน ก่อนส่งขึ้นไปใหม่
เมื่อวานนี้ พล.ต.ท.รุทธพล เนาวรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ระบุว่า
“ได้มีการตั้งคณะกรรมการพิจารณา โดยมอบหมายให้ นางพงษ์สวาท นีละโยธิน ปลัด ยธ. ไปตั้งกรรมการขึ้นมาเพื่อช่วยดูเรื่องข้อกฎหมาย และค่อยให้ประมวลเรื่องเสนอขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
ส่วนจะสรุปว่าสามารถขอได้หรือไม่นั้น ขอให้คณะกรรมการฯ ได้พิจารณาดำเนินการอีกครั้งหนึ่งก่อน ซึ่งให้เวลา 3 วัน
ก็น่าจะประมาณวันศุกร์ที่ 3 ต.ค. หรือวันจันทร์ที่ 6 ต.ค. จึงจะมีการรายงานมาให้ทราบอีกครั้ง
แล้วค่อยนำเสนอกลับไปใหม่ที่ สลค.อีกครั้ง”
2. ทักษิณยื่นขอพระราชทานอภัยโทษเฉพาะรายเป็นครั้งที่ 2 โดยหลักการแล้ว ไม่สามารถทำได้
นายปรเมศวร์ อินทรชุมนุม อัยการอาวุโส สำนักงานการสอบสวน สำนักงานอัยการสูงสุด ได้แสดงความเห็นทางกฎหมาย ระบุว่า กรณีที่ น.ช.ทักษิณ ยื่นขอพระราชทานอภัยโทษเฉพาะรายเป็นครั้งที่ 2 โดยหลักการแล้ว ไม่สามารถทำได้
อัยการปรเมศวร์อ้างถึงประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 264 วรรค 2 ซึ่งระบุว่า เรื่องขอพระราชทานอภัยโทษอย่างอื่น ซึ่งมิใช่โทษประหารชีวิต ถ้าถูกยกครั้งหนึ่งแล้ว จะยื่นใหม่อีกไม่ได้ จนกว่าจะพ้น 2 ปี นับตั้งแต่วันถูกยกครั้งก่อน
“กรณีทักษิณยังไม่พ้นกำหนด 2 ปี นับตั้งแต่การขออภัยโทษในครั้งแรกที่ได้รับการลดโทษเหลือ 1 ปี ซึ่งถือเป็นการได้รับพระราชทานอภัยโทษแล้ว
ส่วนโทษประหารชีวิตเป็นข้อยกเว้นที่สามารถขอซ้ำได้”
นอกจากนี้ นายปรเมศวร์ยังได้กล่าวถึงขั้นตอนการรับโทษครั้งแรกของนายทักษิณว่า การที่เข้าเรือนจำเพียง 1 วัน ก่อนออกไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจนั้น ถือว่าเป็นการเข้ารับโทษแล้ว จึงสามารถขออภัยโทษในครั้งแรกได้ แต่สำหรับการขอซ้ำต้องรอให้ครบ 2 ปี ตนว่าอย่าไปฝืน ยิ่งกว่านั้น หากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมพิจารณาและ ยื่นเรื่องต่อ จะมีความผิดตาม มาตรา 157 (ฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ)
3. “คำขอซ้ำ” ให้ทรงวินิจฉัยซ้ำ ทำไม่ได้
อาจารย์แก้วสรร อติโพธิ เผยแพร่บทความในรูปแบบถาม-ตอบ เรื่อง “คำขอพระราชทานอภัยโทษ ในโทษจำคุก 1 ปี ของทักษิณ”
เนื้อหาสาระบางส่วน ชี้ชัดว่า
“..เป็น “คำขอซ้ำ”ให้ทรงวินิจฉัยซ้ำอย่างชัดเจนครับ
ต้องเข้าใจว่า คดีชั้น ๑๔ ศาลไม่ได้ตัดสินลงโทษอะไรใหม่ในคดีใหม่อะไรเลยนะครับ แต่เป็นคดีเก่าที่ตัดสินไปแล้ว แล้วจำเลยหนีไป
๑๗ ปีให้หลังเมื่อกลับมา เค้าก็ต้องกลับมารับโทษที่เหลืออีก ๘ ปีนั้น แต่ก็ทรงพระกรุณาอภัยโทษจนเหลือโทษ ๑ ปี และเมื่อสิงหาคม ๒๕๖๖ ศาลก็ออกหมายคุมขังใน ๑ ปีที่เหลือนี้แล้ว
แต่มาปรากฏในปี ๒๕๖๘ ว่าหมายขังนี้ไม่ได้รับการบังคับตามให้ถูกต้อง เพราะมีเจ้าหน้าที่สมคบกันช่วยเหลือให้นักโทษไปนอนโรงพยาบาลตำรวจโดยมิชอบ
ศาลจึงมีคำสั่งให้บังคับตามหมายเดิมเสียใหม่ คือ ให้ราชทัณฑ์นำตัวไปขังเลยทันที
กรณีจึงชัดเจนว่า โทษ ๑ ปี ที่ทักษิณกลับมาโดนอยู่ดีนี้ จึงป็นคดีเดิมโทษเดิมที่ศาลตัดสินไปสิบกว่าปีแล้ว
.... คำร้องซ้ำซากอย่างนี้ ในทางกฎหมาย ทำไม่ได้ครับ
หลักห้ามฟ้องซ้ำ ร้องซ้ำ อย่างนี้เป็นหลักทั่วไปของกฎหมาย
คำร้องใดที่ซ้ำซากอย่างนี้ รัฐมนตรียุติธรรมมีหน้าที่ต้องปฏิเสธไม่นำส่งเข้าสู่ราชการในพระองค์
ถ้าหลุดเข้าไปได้ ก็ผ่านการกลั่นกรองของสำนักองคมนตรีไปไม่ได้ครับ
คำร้องนี้ต้องโดนส่งกลับ เหมือนคราวรักษาการนายกฯทูลขอให้ทรงยุบสภาเมื่อเร็วๆ นี้ ที่ถูกตีกลับ เพราะมีปัญหากฎหมายครับ
.... เรื่องความถูกต้องทั้งข้อมูลและความชอบด้วยกฎหมาย เป็นเรื่องที่รัฐมนตรีต้องรับผิดชอบ ตรวจสอบรับรองจนชัดเจนเสียตั้งแต่ต้นเลยครับ
เมื่อกลั่นกรองถูกต้องแล้ว กรณีก็จะเหลือแต่ดุลพินิจแท้ๆตามพระกรุณาเท่านั้น ซึ่งนักโทษก็ได้อภัยโทษไป ๗ ปีแล้วก็เกมส์แล้วในทางกฎหมาย จะเอา ๑ ปี มาร้องซ้ำอีกไม่ได้”
อาจารย์แก้วสรรยังตั้งข้อสงสัยว่า นายทักษิณน่าจะถูกดำเนินคดี กรณีสมคบเจ้าหน้าที่รัฐ ส่งตัวนักโทษไปอยู่ชั้น14 โดยมิชอบ
“....ถ้าซ้ำด้วยโทษในคดีใหม่ ที่มีการสมคบกันช่วยเหลือนักโทษให้ไม่ต้องติดคุก ๑ ปี
ทั้งกระทงแรกที่ส่งไปนอนโรงพยาบาลตำรวจ ๖ เดือนโดยมิชอบ
กับกระทงหลังที่พักโทษใส่เฝือกคอจอมปลอมไปนอนบ้านอีก ๖ เดือน โดยอ้างว่าทรุดโทรมช่วยตัวเองไม่ได้นั้น
สองกระทงนี้ เมื่อ ป.ป.ช.กับอัยการส่งฟ้อง และศาลพิพากษาแล้ว ตัวนักโทษก็จะโดนจำคุกฐานสนับสนุนเจ้าหน้าที่กระทำผิดในหน้าที่
รวมโทษสองกระทงนี้ ก็น่าจะเพิ่มอีก ๑๐ ปี
รวมกับโทษเดิมเป็น ๑๘ ปี ครับ
โทษ ๑๘ ปี เช่นนี้นี่เองที่เหมาะสมกับความอุกอาจร้ายแรงของความผิด
ถ้าเป็นจริงได้เมื่อใดก็จะยังผลกู้คืนให้กฎหมายไทยกลับมาเป็นหลักของบ้านเมืองได้ต่อไป...”
4. ทักษิณต้องกลับไปรับโทษตามพระราชโองการเดิม หลังได้รับพระราชทานอภัยลดโทษแล้ว แต่ออกไปอยู่นอกเรือนจำโดยมิชอบ
ในคำสั่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง คําสั่งคดี หมายเลขดําที่ บค๑/๒๕๖๘ ปรากฏข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติ ระบุว่า
4.1 การส่งตัวจําเลยไปรักษาตัวนอกเรือนจําไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๕๕ และกฎกระทรวงการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจํา พ.ศ. ๒๕๖๓
4.2 ศาสตราจารย์เกียรติคุณนายแพทย์ประสิทธิ์และศาสตราจารย์นายแพทย์ ไชยรัตน์ ให้ความเห็นเกี่ยวกับการรักษาจําเลยในคืนที่รับตัว สรุปได้ว่า เมื่อพยานทั้งสองตรวจสอบจากเวชระเบียนบันทึกความคืบหน้าการรักษา เอกสารหมาย ศ.๒ แผ่นที่ ๑๔ และที่ ๑๕ พบว่าในวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๖๖ ที่มีการส่งตัวจําเลยมาที่ โรงพยาบาลตํารวจโดยอ้างว่าเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินนั้น ไม่มีการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ และไม่มีการตามแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจมาดูอาการในทันที เพิ่งจะมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจเข้ามาตรวจจําเลยในวันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๖๖ หรือหลังจาก ๒๔ ชั่วโมงไปแล้ว
และได้ความจากนายแพทย์วัฒน์ชัย มิ่งบรรเจิดสุข ผู้อํานวยการทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ในขณะนั้น และนายแพทย์พงศ์ภัค ซึ่งเป็นแพทย์เชี่ยวชาญเกี่ยวกับโรคหัวใจ สรุปได้ว่า ที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์มีเครื่องมือตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ มียาขยายหลอดลมและยาลดความดันโลหิตที่ใช้รักษาจําเลยตามเวชระเบียนของโรงพยาบาลตํารวจในวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๖๖
แสดงให้เห็นได้ว่า อาการของจําเลยในคืนเกิดเหตุอยู่ในศักยภาพที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์สามารถรักษาได้ ไม่จําต้องส่งตัวจําเลยไปรักษานอกเรือนจํา
เชื่อได้ว่า ในคืนวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๖๖ จําเลยไม่ได้มีอาการแน่นหน้าอก แต่อ้างว่ามีอาการแน่นหน้าอก เพื่อให้เจ้าหน้าที่เรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานครใช้เหตุดังกล่าวเป็นข้ออ้างในการส่งตัวจําเลยไปรักษา
4.3 นอกจากนี้ ยังได้ความจากนายแพทย์วัฒน์ชัยและนายแพทย์พงศ์ภัคอีกว่า อาการของจําเลยตามที่ระบุใน เวชระเบียนของโรงพยาบาลตํารวจนับแต่วันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๖๖ เป็นต้นไปนั้น ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์สามารถดูแลจําเลยได้ ซึ่งข้อเท็จจริงในส่วนนี้ พันตํารวจเอกนายแพทย์ชนะก็เบิกความยืนยันว่า อาการของจําเลยตั้งแต่วันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๖๖ จําเลยสามารถกลับไปรักษาตัวที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ได้
จึงเห็นได้ว่า อาการแน่นหน้าอกของจําเลยหากเกิดขึ้นจริงดังที่จําเลยอ้าง อาการของจําเลยก็ทุเลาดีขึ้นและจําเลยก็สามารถกลับไปรักษาตัวที่สถานพยาบาลของเรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานครหรือทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ได้ตั้งแต่วันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๖๖ เป็นต้นไป
สําหรับการรักษาจําเลย ที่โรงพยาบาลตํารวจตั้งแต่วันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๖๖ จนถึงวันที่จําเลยออกจากโรงพยาบาลตํารวจเมื่อวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗ นั้น
แพทย์โรงพยาบาลตํารวจออกใบแสดงความเห็นแพทย์ให้เรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานคร และผู้บัญชาการเรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานครใช้ใบรับรองแพทย์ฉบับลงวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๖๖ วันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๖๖ และวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๖๖ เป็นหลักฐานประกอบบันทึกข้อความถึงอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ขออนุญาตให้จําเลยพักรักษาตัวนอกเรือนจําต่อไปเกินกว่า ๓๐ วัน ๖๐ วัน และ ๑๒๐ วัน โดยอ้างเหตุต้องรักษาแผลผ่าตัด ต้องรับการผ่าตัดเร่งด่วน ต้องรักษาสมองขาดเลือดและผ่าตัดภาวะกระดูกคอเสื่อม ตามลําดับ
ทั้งที่การผ่าตัดตามที่ระบุในใบแสดงความเห็นแพทย์ เป็นการผ่าตัดนิ้วล็อก ผ่าตัดเอ็นหัวไหล่ขวา ซึ่งฉีกขาดเพราะจําเลยประสบอุบัติเหตุขณะพักอยู่ที่โรงพยาบาลตํารวจ และมิใช่สาเหตุการป่วยอันเป็นเหตุที่อ้างใช้ส่งตัวจําเลยมาที่โรงพยาบาลตํารวจ และการผ่าตัดภาวะกระดูกคอเสื่อม แพทย์เคยเสนอจําเลยให้ผ่าตัดภายหลังจากจําเลยอยู่โรงพยาบาลตํารวจ แต่จําเลยปฏิเสธการผ่าตัด
ทั้งได้ความว่า ในที่สุดก็ไม่มีการผ่าตัดกระดูกคอกดทับไขสันหลังและเส้นประสาทของจําเลยแต่อย่างใด จนกระทั่งจําเลยออกจากโรงพยาบาลตํารวจ
4.4 ข้อเท็จจริง จึงรับฟังได้ว่า การบังคับโทษจําคุกจําเลยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และตามพฤติการณ์ดังกล่าวมาข้างต้น บ่งชี้ให้เห็นว่า จําเลยทราบข้อเท็จจริงหรือรับรู้เหตุการณ์ได้ว่าตนไม่ได้ป่วยวิกฤตฉุกเฉิน แต่จําเลยมีเพียงโรคประจําตัวซึ่งเป็นโรค เรื้อรังที่รักษาตัวแบบผู้ป่วยนอกได้ โดยไม่จําเป็นต้องนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลตํารวจ เพราะเป็นข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพและสภาวะร่างกายของจําเลยเอง
นอกจากนั้น ยังได้ความว่าจําเลยเข้ามามีส่วนตัดสินใจในกระบวนการรักษาของแพทย์ โดยปฏิเสธการผ่าตัดรักษาโรคหัวใจและโรคกระดูกคอกดทับไขสันหลังและเส้นประสาท แต่ให้แพทย์รักษาโดยการรับประทานยาตามอาการและเลือกรับการผ่าตัดนิ้วล็อกและเอ็นหัวไหล่ขวาซึ่งไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน และเป็นผลทําให้การรักษาตัวจําเลยในโรงพยาบาลตํารวจขยายระยะเวลาออกไป
จําเลยจึงได้รับประโยชน์จากการพักอยู่ที่โรงพยาบาลตํารวจ โดยไม่ต้องกลับไปถูกคุมขังที่เรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานครจนได้รับการปล่อยตัว และไม่อาจอ้างว่าเป็นการดําเนินการของแพทย์และเจ้าหน้าที่มิได้เกิดจากการกระทําของจําเลยเพื่อถือเอาประโยชน์จากระยะเวลาที่พักอยู่ที่โรงพยาบาลตํารวจมาหักวันคุมขังโทษตามคําพิพากษา
4.5 เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๖ มีพระบรมราชโองการพระราชทานพระมหากรุณาอภัยลดโทษให้จําเลยเหลือโทษจําคุกต่อไป อีก ๑ ปี ตามกําหนดโทษตามคําพิพากษา
ดังนี้ ย่อมมีผลทําให้จําเลยได้รับการลดโทษ และต้องรับโทษจําคุกตามคําพิพากษาต่อไปอีก ๑ ปี นับแต่วันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๖ แต่หามีผลทําให้การบังคับโทษจําคุกจําเลยสิ้นสุดลงไม่
เมื่อการบังคับโทษจําเลยเป็นไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายดังที่ได้วินิจฉัยมาข้างต้น กระบวนการบังคับโทษ รวมทั้งการพักการลงโทษจําเลย จึงไม่มีผลตามกฎหมาย
และไม่อาจนําเอาระยะเวลาที่พักอยู่ที่โรงพยาบาลตํารวจมาหักเป็นวันคุมขังได้
จําเลยจึงต้องรับโทษจําคุกอีก ๑ ปี ตามพระบรมราชโองการ...”
5. อดีตนายกฯ ทักษิณ ติดคุก เพราะคดีทุจริตประพฤติมิชอบ
คดีหมายเลขแดงที่ อม ๔/๒๕๕๑ คดีหมายเลขแดงที่ อม ๕/๒๕๕๑ และคดีหมายเลขแดง ที่ อม ๑๐/๒๕๕๒
ต้องโทษจำคุก รวม 8 ปี
เมื่ออดีตนายกฯทักษิณกลับมารับโทษ ก็ยังไม่ยอมติดคุกจริงๆ
ทั้งๆ ที่ ได้รับพระราชทานอภัยลดโทษเหลือ 1 ปี แต่กลับไปอยู่โรงพยาบาลตำรวจชั้น 14 โดยมิชอบด้วยกฎหมาย ผิดกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง
กระทั่งศาลฎีกาฯ มติเอกฉันท์ มีคำสั่งให้ต้องกลับเข้าคุกจริงๆ โดยต้องรับโทษจำคุก 1 ปี ตามพระราชโองการเดิม
การจะมาถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษเป็นรายบุคคลซ้ำอีก จึงเสมือนจะขอเบิ้ล
ไม่อาจกระทำได้ หรือไม่บังควรที่จะกระทำ รวมทั้งอาจเป็นการระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท หรือไม่?
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี