การตัดสินใจว่า จะยกเลิก MOU 43-44 หรือไม่? ไม่จำเป็นต้องทำประชามติ แต่ถูกกำหนดเป็นหนึ่งในนโยบายรัฐบาลที่แถลงต่อรัฐสภา
1. นายกฯ อนุทิน ยืนยันว่า หากผลการศึกษาของคณะกรรมาธิการฯ ออกมาชัดเจนไปในทางหนึ่งทางใด รัฐบาลก็พร้อมตัดสินใจทันที โดยอาจไม่ต้องทำประชามติ
แต่ถ้ามีความคิดเห็นแตกต่าง ก็จะต้องเดินหน้าทำประชามติ ถามประชาชนให้ร่วมตัดสินใจ ลงคะแนนวันเดียวกันเลือกตั้งใหญ่
และยอมรับว่า จะต้องดำเนินการให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องแก่ประชาชน ก่อนตัดสินใจ
2. ประเด็นสำคัญที่สุด คือ ข้อมูลที่สำคัญก่อนจะตัดสินใจได้ว่า จะเห็นควรยกเลิก MOU 43-44 หรือไม่นั้น
มีตั้งแต่ข้อมูลว่า MOU 43-44 คืออะไร เนื้อหาตามเอกสารเป็นอย่างไร
ยิ่งไปกว่านั้น ข้อมูลเชิงลึก หรือข้อมูลความมั่นคง ก็ต้องใช้ประกอบการตัดสินใจเพื่อชั่งน้ำหนัก ระหว่างมี กับไม่มี จะเกิดอะไรขึ้น แล้วเราพร้อมจะรับมือหรือไม่ อย่างไร ฯลฯ
ถามว่า รัฐบาลจะเปิดเผยข้อมูลความมั่นคงทั้งหมดแก่สาธารณชนได้อย่างไร
มิฉะนั้น ประชาชนก็จะถูกปั่นให้ตัดสินใจด้วยส่วนปลายความรู้สึก ความต้องการที่เกิดจากกระแสสังคม ที่อาจถูกชี้นำจากคนบางกลุ่ม ซึ่งมีเป้าประสงค์การเมืองแอบแฝง
3. ศูนย์สำรวจความคิดเห็น นิด้าโพล สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจเรื่อง “จะทำประชามติแล้ว…เข้าใจ MOU 2543 และ MOU 2544 หรือยัง” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 1-2 ตุลาคม 2568 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปเกี่ยวกับความเข้าใจของประชาชนต่อ MOU 43 และ MOU 44 ก่อนการทำประชามติ
ผลปรากฏว่า ส่วนใหญ่ยังไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับ MOU 43 และ MOU 44 แต่ก็อยากให้ทำประชามติ
โดยเมื่อถามความคิดเห็นของประชาชนต่อการทำประชามติเรื่องการยกเลิก MOU 43 และ MOU 44 พบว่า
ร้อยละ 60.76 ระบุว่า เห็นด้วยที่จะมีการทำประชามติยกเลิกทั้ง MOU 43 และ MOU 44
ร้อยละ 20.92 ระบุว่า ไม่เห็นด้วยเลยที่จะมีการทำประชามติยกเลิกทั้ง MOU 43 และ MOU 44
ร้อยละ 12.60 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
ร้อยละ 4.96 ระบุว่า ไม่แน่ใจ
แต่เมื่อถามความเข้าใจของประชาชนเกี่ยวกับเรื่อง MOU 43 พบว่า
ร้อยละ 44.12 ระบุว่า ไม่เข้าใจเลย
ร้อยละ 24.96 ระบุว่า ไม่ค่อยเข้าใจ
ร้อยละ 23.13 ระบุว่า ค่อนข้างเข้าใจ
ร้อยละ 7.79 ระบุว่า เข้าใจมาก
และเมื่อถามความเข้าใจของประชาชนเกี่ยวกับเรื่อง MOU 44 พบว่า
ร้อยละ 45.73 ระบุว่า ไม่เข้าใจเลย
ร้อยละ 24.96 ระบุว่า ไม่ค่อยเข้าใจ
ร้อยละ 22.44 ระบุว่า ค่อนข้างเข้าใจ
ร้อยละ 6.87 ระบุว่า เข้าใจมาก
4. หากยังจะทำประชามติ ก่อนจะถึงวันออกเสียงลงประชามติ รัฐบาลจะต้องนำเสนอข้อมูลที่สำคัญและจำเป็นอย่างครบถ้วนที่สุด
เพื่อให้ประชาชนตัดสินใจบนฐานของข้อมูล มิใช่อารมณ์ความรู้สึก
คำถาม คือ จะเป็นไปได้แค่ไหน
หากเดินหน้าทำประชามติที่เสี่ยงขัดกฎหมาย หรืออาจถูกร้องว่าทำไม่รอบด้านอาจทำให้การทำประชามติเป็นโมฆะ เสียเวลาเปล่า
5. รัฐบาลควรตรวจสอบข้อมูลที่เผยแพร่กันต่างๆ นานา ในวันนี้อย่างถูกต้องครบถ้วน ก่อนเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้องต่อไป
ตัวอย่างชุดข้อมูลการวิเคราะห์ผลกระทบต่อประเทศไทยหากมีการยกเลิกบันทึกความเข้าใจ (MOU) ทั้งฉบับปี 2543 (MOU 43) และปี 2544 (MOU 44)
“MOU 2543 (ว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก)
MOU 2543 มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อกำหนดอำนาจและหน้าที่ของคณะกรรมาธิการร่วม (JBC) ในการร่วมกันสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนตามที่ได้ปักปันไว้แล้วตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1904 และ 1907
“ผลกระทบต่อประเทศไทย หากยกเลิก MOU 2543 ได้แก่ :
1. การสูญเสียกลไกการทำงานร่วมกัน
ไทยและกัมพูชาจะไม่มีกลไกในการดำเนินงานด้านสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกอีกต่อไป
การยกเลิก MOU 2543 จะส่งผลให้กลไกสำคัญ เช่น คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) และคณะอนุกรรมาธิการเทคนิคร่วม (JTSC) ถูกยกเลิกตามไปด้วย
การดำเนินการตามแผนงานต่างๆ ภายใต้ JBC จะต้องหยุดชะงักลง เช่น การสำรวจหาตำแหน่งที่ตั้งหลักเขตทั้ง 73 หลัก ซ่อมแซมหลักเขตแดนที่ชำรุด และการทำแผนที่ภาพถ่ายด้วยเทคโนโลยี LiDAR
ปัญหาข้อแตกต่างต่อที่ตั้งหลักเขตแดน เช่น บ้านหนองจาน และ บ้านหนองหญ้าแก้วจะยังคงค้างอยู่ โดยไม่มีกลไกที่กำหนดขั้นตอนและกระบวนการดำเนินงานด้านเทคนิคอย่างเป็นระบบ
2. ผลกระทบต่อผลงานที่ผ่านมาและโอกาสในการเริ่มต้นใหม่
ผลการดำเนินงานภายใต้ JBC ที่ผ่านมา (เช่น การสำรวจหลักเขตแดนที่เห็นตรงกันแล้วกว่าร้อยละ 60 หรือ 45 จาก 73 หลัก) อาจสิ้นสุดลง ตามกลไกที่ถูกยกเลิก
หากมีการตั้งกลไกขึ้นใหม่ กัมพูชาอาจกำหนดให้ต้องเริ่มต้นการดำเนินการใหม่ทั้งหมด (นับหนึ่งจากศูนย์) เพื่อให้เป็นผลงานของกลไกใหม่
หากต้องเจรจาทำ MOU ฉบับใหม่ในช่วงที่ความสัมพันธ์ทวิภาคีตกต่ำ การเจรจาเพื่อให้บรรลุข้อตกลงจะเป็นไปได้ยาก
3. ความเสี่ยงด้านการรุกล้ำและอธิปไตยทางบก
จะไม่มีข้อกำหนดให้ทั้งสองฝ่ายงดเว้นการดำเนินการที่มีผลเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมชายแดน (ตามข้อ 5 ของ MOU 2543)
กัมพูชาจะมีอิสระในการดำเนินกิจกรรมต่างๆ เช่น การพัฒนาหมู่บ้าน โครงสร้างพื้นฐานหรือกิจกรรมทางเศรษฐกิจในพื้นที่ที่ยังสำรวจไม่แล้วเสร็จ เพื่อใช้เป็นหลักฐานสนับสนุนการครอบครองในอนาคต
การยกเลิก MOU 43 ทำให้ไทยขาดกลไกในการประท้วงการรุกล้ำตามข้อบทของ MOU ซึ่งไทยเคยใช้ได้ผลแล้วที่ช่องตะกู
ปัญหาหลักเขตสูญหายจะไม่ได้รับการแก้ไข
กัมพูชาอาจปฏิเสธการเก็บกู้ทุ่นระเบิด โดยอ้างว่าต้องมีเขตแดนที่ชัดเจนก่อน (แม้ว่า MOU 43 จะมีข้อกำหนดให้ชุดสำรวจร่วมปลอดภัยจากกับระเบิดก็ตาม)
4. มิติการเมืองและภาพลักษณ์ระหว่างประเทศ (MOU 43)
MOU 2543 มีสถานะเป็น “ความตกลงระหว่างรัฐที่จัดทำขึ้นเป็นลายลักษณ์อักษรและอยู่ภายใต้บังคับแห่งกฎหมายระหว่างประเทศ”
หากไทยยกเลิกโดยฝ่ายเดียวโดยไม่มีเหตุอันควร ไทยอาจถูกวิจารณ์ว่าไม่ยึดมั่นในพันธกรณีระหว่างประเทศและหลักสุจริต
กัมพูชาอาจใช้โอกาสนี้ในการแสวงหาการสนับสนุนจากอาเซียนหรือชาติมหาอำนาจในการโจมตีไทย และชูภาพลักษณ์ว่าตนเองเป็นฝ่ายยึดมั่นในหลักกฎหมายระหว่างประเทศ (อย่างไรก็ตาม มีมุมมองที่เห็นว่าไทยสามารถยกเลิก MOU 43 ฝ่ายเดียวได้โดยอ้างอิงอนุสัญญากรุงเวียนนา ค.ศ. 1969 มาตรา 60 หากกัมพูชามีการละเมิดอย่างร้ายแรงต่อเนื่อง)
ฝ่ายที่ต้องการยกเลิกมองว่า MOU 43 ทำให้ไทยเสียเปรียบเพราะยอมรับให้ใช้แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 เป็นเอกสารประกอบ ซึ่งเป็นแผนที่ที่ฝ่ายไทยเคยปฏิเสธมาตลอดและมีข้อผิดพลาดอย่างมาก การยกเลิกจะช่วยขจัดความเสียเปรียบนี้
.....
MOU 2544 (ว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน หรือ OCA)
MOU 2544 มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อเจรจาพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน (OCA) ในทะเล โดยมีข้อตกลงสำคัญคือการเจรจาพื้นที่พัฒนาร่วม (JDA) และการแบ่งเขตทางทะเล (OCA ส่วนบน) ต้องเจรจาไปพร้อมกันในลักษณะที่ไม่อาจแบ่งแยกได้ (indivisible package)
ผลกระทบต่อประเทศไทยหากยกเลิก MOU 2544 ได้แก่:
1. การสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจและพลังงานที่สำคัญ
พื้นที่ OCA ไทย-กัมพูชามีศักยภาพที่จะสำรวจพบปิโตรเลียมในปริมาณมาก โดยมีการประเมินมูลค่าทางเศรษฐกิจเบื้องต้นไว้สูงถึง 20 ล้านล้านบาท และมีทรัพยากรปิโตรเลียมรวมมูลค่าประมาณ 5 ล้านล้านบาท (ก๊าซธรรมชาติ 11 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต และน้ำมันดิบกว่า 500 ล้านบาร์เรล)
การยกเลิก MOU 44 จะทำให้ไทยสูญเสียโอกาสในการเข้าถึงทรัพยากรเหล่านี้ทั้งหมด
หากไม่มี MOU กัมพูชาอาจดำเนินการพัฒนาทรัพยากรฝ่ายเดียว หรือทำสัญญากับบริษัทข้ามชาติโดยตรง ซึ่งจะส่งผลให้ไทยไม่ได้รับส่วนแบ่งใดๆ เลย
2. การขาดกรอบและกลไกในการเจรจาปัญหาทางทะเล
การยกเลิก MOU 44 จะทำให้เกิดช่องว่างของการเจรจาแก้ไขปัญหาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล และทำให้การแก้ไขปัญหาช้าลง
ไทยจะขาดเครื่องมือ (กลไก JTC) ที่จะดึงกัมพูชามานั่งพูดคุยอย่างเป็นทางการ
การยกเลิก MOU 44 ทำให้ไทยต้องเริ่มต้นเจรจากรอบการดำเนินงานกันใหม่
3. ผลกระทบต่อประเด็นเกาะกูดและเขตแดนทางทะเล
MOU 44 กำหนดให้มีการเจรจาเพื่อแบ่งเขตทางทะเลในพื้นที่เหนือละติจูด11 องศาเหนือ ซึ่งเป็นสิ่งที่ฝ่ายไทยต้องการเพื่อให้เส้นที่พาดผ่านเกาะกูดได้รับการแก้ไข การยกเลิกอาจทำให้ไทยสูญเสียเครื่องมือที่บังคับให้กัมพูชาต้องเจรจาเรื่องนี้
อย่างไรก็ตาม กลุ่มผู้สนับสนุนการยกเลิกมองว่า การยกเลิก MOU 44 จะทำให้ไทยไม่ถูกผูกมัดหรือตีความว่าเป็นการยอมรับเส้นไหล่ทวีปที่กัมพูชาประกาศพาดผ่านเกาะกูดและสามารถเริ่มต้นใหม่บนพื้นฐานของกฎหมายระหว่างประเทศที่อาจทำให้พื้นที่ทับซ้อนมีขนาดเล็กลง
4. มิติความสัมพันธ์ระหว่างประเทศโดยรวม
การยกเลิก MOU ใดๆ (ทั้ง 43 และ 44) อาจส่งผลกระทบให้ความสัมพันธ์ทวิภาคีเสื่อมลง
ไทยอาจถูกมองว่าเป็นฝ่าย “ยุติกรอบความร่วมมือ” ซึ่งอาจกระทบต่อความน่าเชื่อถือในเวทีนานาชาติและอาเซียน
การยกเลิก MOU 44 อาจเพิ่มความเสี่ยงด้านความมั่นคง หากเกิดความตึงเครียดทางการทูตหรือการปะทะกันในพื้นที่โต้แย้งทางทะเล...”
ข้างต้นนี้ คือตัวอย่างชุดข้อมูลการวิเคราะห์ที่น่าสนใจ ซึ่งอาจมีชุดข้อมูลอื่นๆ ที่แตกต่างออกไปอีก แล้วประชาชนจะมีเวลาศึกษาทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้ทั้งหมด ได้อย่างไร?
สุดท้าย การตัดสินใจเชิงนโยบายในเรื่องที่มีข้อมูลรายละเอียดเชิงเทคนิค ข้อมูลความมั่นคง มีรายละเอียด มีความอ่อนไหวเช่นนี้ หากนำมาทำประชามติ อาจได้คำตอบว่าเสียงส่วนใหญ่ถูกใจที่จะให้ยกเลิกหรือไม่ แต่อาจไม่ได้คำตอบว่า การยกเลิกนั้นจะส่งผลดีหรือไม่ดีกับประเทศชาติส่วนรวมอย่างไรกันแน่เสมอไป
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี