ผมเขียนเรื่องมนุษยธรรมหลายครั้ง ทั้งในคอลัมน์นี้และในเฟซบุ๊กของผม เพราะนับแต่เกิดสงครามชายแดนกับเขมร และคาราคาซังมาจนบัดนี้ คำว่า “มนุษยธรรม” ก็ยังถูกใช้เป็นเครื่องมือของอำนาจไม่เลิก
พวกที่ใช้ครั้งแรกคือพวกขบวนการส้ม ทั้งสื่อ นักการเมือง ด้อมทั้งหลาย ตั้งแต่ประสานเสียงเรียกร้องกดดันให้โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ รับรักษาชาวเขมรและทหารเขมรที่บาดเจ็บจากการสู้รบกับทหารไทย! “เพื่อมนุษยธรรม” แม้ทางโรงพยาบาลชี้แจงว่ายังรักษาชาวเขมรตามปกติอยู่ แต่ต้องดูความพร้อมและความจำเป็นของทางโรงพยาบาลด้วย แต่ขบวนการส้มไม่ฟัง กลับระดมโจมตีว่ากล่าวทางโรงพยาบาลต่อไป ราวกับชาวเขมรและทหารเขมรเป็นบิดาบังเกิดเกล้าของพวกตน โดยไม่สนใจว่าพลเมืองไทยเสียชีวิตและบาดเจ็บเพราะเขมรลอบโจมตีก่อนแม้แต่น้อย!
เมื่อมีการสู้รบระหว่างไทยกับทหารเขมร พวกขบวนการส้มก็เรียกร้องกดดันให้รัฐบาลไทยและทหารไทยเจรจาหยุดยิง“เพื่อมนุษยธรรม” แต่ทหารไทยเหยียบกับระเบิดขาขาด ขบวนการส้มกลับเงียบกริบเหมือน “อมสากกะเบือ”
เมื่อทหารพยายามจะปิดด่านชายแดน ขบวนการพรรคส้มก็ค้านอีกว่า จะทำให้ชาวบ้าน ทั้งคนไทยและเขมรที่อยู่ตามชายแดนจะเดือดร้อน มันไม่มี “มนุษยธรรม” พวกนักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ก็บอกว่า การปิดด่านจะทำให้ประเทศไทยเสียรายได้ตามชายแดนวันละ 800 – 1,000 ล้านบาท
เสียงเรียกร้อง- กดดันของขบวนการส้มนั้นเป็นที่รู้กันว่าไม่ใช่เสียงเรียกร้องตามปกติของผู้มีมนุษยธรรม แต่มีเป้าหมายซ่อนเร้น
เป้าหมายซ่อนเร้นของขบวนการส้มก็เหมือนกับการเป็นปากเป็นเสียงให้แรงงานชาวพม่า เพราะ 1.พยายามจะให้แรงงานต่างด้าวมีสิทธิ์เลือกตั้งและมีสวัสดิการเหมือนแรงงานไทย เพื่อใช้เป็นเครื่องมือขึ้นสู่อำนาจของพวกตน
2.เรื่องผลประโยชน์ของพวกนายทุนสินค้าต่างๆ ที่ส่งเข้าไปขายในเขมร ผลประโยชน์ของพวกทหารพาณิชย์และนักการเมือง ที่ทำการค้าการลงทุนในเขมร ที่สำคัญคือบ่อนกาสิโน และการค้าขาย อย่างข้าวโพด ข้าวเปลือกและมันสำปะหลัง มีคนตั้งข้อสงสัยว่า “บริษัทของครอบครัวเจ้าของพรรคส้ม” มีสินค้าส่งไปขายในเขมรด้วยหรือไม่
3.ประการสำคัญ ขบวนการส้มทำตามความต้องการของประเทศมหาอำนาจตะวันตกที่หนุนเงิน - หนุนหลังหรือไม่ ซึ่งมีคนจำนวนมากเชื่อและก็มีสื่อใหญ่ออกมาแฉหลายครั้ง
ก่อนคุณอนุทินจะเป็นนายกรัฐมนตรี ได้ประกาศขึงขังว่าจะยกเลิก MOU 43-44 จะปิดด่านชายแดนและจะผลักดันชาวเขมรที่ “บ้านหนองจาน – หนองหญ้าแก้ว” จังหวัดสระแก้วออกจากแผ่นดินไทย และจะสร้างรั้วตามเขตแดน พลันเขาก็ได้เสียงสนับสนุนจากคนรักชาติทันที!
แต่เมื่อเป็นนายกรัฐมนตรีได้ไม่กี่วันเขาก็พลิกลิ้นว่า MOU 43-44 ต้องให้คณะกรรมาธิการความมั่นคงฯ พิจารณาและลงมติว่าจะยกเลิกหรือไม่ ถ้าลงมติไม่ได้ก็จะทำประชามติ ซึ่งเป็นการผลักภาระไปให้กมธ.ความมั่นคงฯและประชาชน ส่วนตนลอยตัวเพราะอ้างได้ว่า “ทำตามมติ” หรือ “ประชามติ”
เรื่องผลักดันชาวเขมรก็บอกว่า “สงสารชาวเขมร” ซึ่งก็เป็นเรื่อง “มนุษยธรรม” เช่นเดียวกับขบวนการส้มอีก!
เรื่องสร้างรั้วตามแนวเขตแดนก็ลังเล ทุกเรื่องกลับไปเป็นอย่างที่รัฐบาลเพื่อไทยทำ ไม่แตกต่างกันเลย! ด้วยข้ออ้าง “มนุษยธรรม” และการค้าขายตามเคย! เสียงก่นด่าจึงดังกระหึ่มทั่วประเทศ
มีคนตั้งคำถามว่าทำไมคุณอนุทินจึงพลิกลิ้นว่า “โดนอะไรมา”
มีใครในพรรคหรือเหนือพรรคมีผลประโยชน์ในเขมรหรือไม่?
หรือโดนขอร้อง-กดดันจากผู้มีอำนาจมีอิทธิพลที่เหนือกว่าเขาและพรรค รวมทั้งพวกนายทุนและทหารพาณิชย์ที่มีผลประโยชน์อยู่ในเขมร
ถ้าเป็นอย่างนี้ก็ไม่ใช่เรื่องผลประโยชน์และความมั่นคงของประเทศชาติ หากแต่ผลประโยชน์ของพวกนายทุน พ่อค้า หุ้นส่วนกาสิโน การลงทุน และทรัพย์สินในเขมร
ตอนนี้คะแนนนิยมตัวเขาและพรรคภูมิใจไทยลดอย่างรวดเร็ว สุดท้ายจึงต้องออกมาพลิกลิ้นอีกครั้งว่าจะผลักดันชาวเขมรออกไปภายในวันที่ 10 ตุลาคมนี้ตามแผนการณ์เดิม!
แต่ไม่สามารถเรียกเสียงสนับสนุนคืนมาได้แล้ว ซ้ำกลับถูกก่นด่ามากขึ้นว่า“ลิ้นไม่มีกระดูก – หาแสง – ไม่มีจุดยืน -ไม่มีคุณสมบัติของผู้นำ” บางส่วนบอกว่าจะรอดูว่าทำจริงไหม จะทำได้ไหม
หมายความว่าประชาชนส่วนมากไม่เชื่อเขาแล้ว!
วิมล ไทรนิ่มนวล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี