ย้อนไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2566 ที่ผ่านมา เกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่หนหนึ่งในประวัติศาสตร์โลกสมัยใหม่ นั่นคือ “แผ่นดินไหว” ขนาด 7.8 แมกนิจูด บริเวณดินแดนที่เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่าง 2 ประเทศ คือตุรกีกับซีเรีย เมื่อวันที่6 ก.พ. 2566 ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 5 หมื่นศพจากนั้นยังเกิดแผ่นดินไหวขนาด 5.6 แมกนิจูด เมื่อวันที่27 ก.พ. 2566 ครั้งนี้มีผู้เสียชีวิต 1 ศพ ขณะที่รัฐบาลตุรกีตั้งคณะกรรมการสอบสวนเกี่ยวกับ “การก่อสร้างอาคารที่ไม่ได้มาตรฐาน” ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ความสูญเสียเกิดขึ้นอย่างรุนแรง เบื้องต้นสอบสวนผู้ต้องสงสัยไปแล้ว 600 ราย
กลับมาที่ประเทศไทย เมื่อวันที่ 1 มี.ค. 2566 สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) เผยแพร่บทความ “ผู้เชี่ยวชาญ สจล. แนะออกแบบอาคาร และวิธีลดความเสี่ยงอาคารถล่ม รับมือแผ่นดินไหว” โดย รศ.ดร.คมสัน มาลีสี รักษาการแทนอธิการบดี สจล. เผยว่า ในประเทศไทยนั้นมีโอกาสที่จะเกิดแผ่นดินไหวได้เช่นกัน แต่ทั้งนี้ความรุนแรงอาจขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น พื้นที่ที่อยู่ตามแนวรอยเลื่อนของเปลือกโลกก็มีโอกาสจะได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวสูงกว่าพื้นที่อื่นๆ
และในประเทศไทยเคยเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ จ.เชียงราย เมื่อปี 2557 มีขนาดความรุนแรง 6.3 แมกนิจูดสร้างความเสียหายให้กับประชาชนในพื้นที่เป็นจำนวนมากเช่นกัน ดังนั้น หากจะหาวิธีป้องกันการทรุดตัว ถล่มของสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ก็สามารถทำได้ ซึ่งประเทศไทยเองได้มีกฎหมายรองรับเกี่ยวกับแนวทางการออกแบบและคำนวณโครงสร้างอาคารเพื่อต้านทานแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวแล้ว โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา วันที่ 9 พ.ย. 2564 ก็ทำให้สิ่งปลูกสร้างยุคใหม่ที่เกิดขึ้นในหลายๆ จังหวัดของประเทศได้มีการออกแบบโครงสร้างที่สามารถรองรับและต้านทานแผ่นดินไหวมากขึ้น
ดร.ภาณุมาศ ไทรงาม อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ สจล. ผู้เชี่ยวชาญด้านโครงสร้างอาคารต้านทานแผ่นดินไหว กล่าวว่า ส่วนสำคัญประการหนึ่งในการออกแบบโครงสร้างเพื่อรับมือกับเหตุแผ่นดินไหวนั้น จะมีการออกแบบให้เสามีขนาดใหญ่ขึ้นจากเมื่อก่อน เพราะผลกระทบโดยตรงของอาคารสิ่งปลูกสร้างจากแผ่นดินไหว จะเป็นแรงที่กระทำจากด้านข้างนั้นคือจะส่งผลกระทบไปที่เสา เวลาออกแบบก่อสร้าง
จึงต้องออกแบบให้เสามีขนาดใหญ่ขึ้นโดยที่เราจะใช้ระบบที่เรียกว่า “เสาแข็งคานอ่อน” เพราะถ้าเสามีความแข็งแรงมากๆ โอกาสที่เสาจะเอนก็จะน้อยลง รวมถึงทำอาคารให้มีความเหนียวมากขึ้นโดยการเพิ่มรายละเอียดเหล็กเสริม และเหล็กปลอกของโครงสร้างอาคาร สำหรับอาคารเก่าที่เจ้าของมีความกังวล เราอาจจะตั้งสมมุติฐานว่าอาคารเหล่านี้อาจจะถูกออกแบบมารับแรงในแนวโน้มถ่วงอย่างเดียว ซึ่งในหลักการของทางวิศวกรรมเราอาจจะต้องทำการวิเคราะห์อาคารเหล่านั้นได้
และถ้าผลวิเคราะห์ออกมาพบว่าเป็นอาคารที่ไม่สามารถรับแรงแผ่นดินไหวได้ ก็จะทำการเสริมกำลังอาคารเพื่อต้านทานแผ่นดินไหว โดยมี 4 แนวทางดังนี้ 1.เสริมกำลังด้วยคอนกรีตและเหล็กเสริมที่เสาให้มีขนาดใหญ่ขึ้นจากเดิม (Concrete jacketing) ซึ่งเป็นเป็นวิธีการเสริมแรงแบบดั้งเดิม เหมาะสำหรับอาคารที่ต้องการเสริมความแข็งแรงของอาคารเพื่อรองรับแผ่นดินไหวในพื้นที่ที่มีผู้เชี่ยวชาญในงานก่อสร้างด้านการเสริมกำลังด้วยโครงคอนกรีตเสริมเหล็ก โดยเป็นวิธีดังเดิมที่ถูกใช้ในหลายประเทศ
2.เสริมกำลังด้วยแผ่นเหล็กที่เสาจะทำให้อาคารมีการรับแรงด้านข้างได้มากขึ้น (Steel jacketing)แทนการเอาเหล็กเสริมและคอนกรีตเข้าไปพอกที่เสาเพียงอย่างเดียว เหมาะสำหรับอาคารที่ต้องการเสริมความแข็งแรงของอาคารเพื่อรองรับแผ่นดินไหว และมีผู้เชี่ยวชาญในการก่อสร้างงานด้านการเสริมกำลังด้วยโครงสร้างเหล็ก 3.เสริมกำลังโดยให้กำแพงสามารถรองรับแรงเฉือน (Shear wall) ซึ่งอาคารสูง หรืออาคารสาธารณะในประเทศไทย โดยเฉพาะกรุงเทพฯมีการออกแบบรับแรงด้านข้างมานานแล้ว จากปกติที่ผนัง หรือกำแพงจะเป็นแค่อิฐเพียงอย่างเดียว
ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้วิธีนี้กับอาคารสูง เนื่องจากจะได้รับผลกระทบทั้งแรงลม หรือแผ่นดินไหวมากกว่าอาคารต่ำ วิธีการคือใส่เหล็กเพื่อช่วยรับแรงด้านข้างดังกล่าว หรือเรียกว่าเป็น ผนังคอนกรีตเสริมเหล็ก กำแพงแบบนี้จะไม่มีโครงสร้างเสาคานให้เห็น ซึ่งเกิดจากการออกแบบให้มันรับน้ำหนักแทนเสาและคาน ผนังแบบนี้แข็งแรงกว่าผนังก่ออิฐฉาบปูน แต่มีข้อเสียตรงที่เราไม่สามารถปรับแต่งต่อเติม หรือเจาะผนังได้ เพราะจะเกิดความเสียหาย
และ 4.เสริมกำลังด้วยโครงแกงแนง (Bracing)ซึ่งจะช่วยรับแรงด้านข้างได้ดี มีลักษณะของการเสริมกำลังด้วยการใช้เหล็กแท่งเสริมเข้าไประหว่างเสา 2 ต้น เพื่อเพิ่มการรับแรงกระทำจากด้านข้าง การยึดรั้ง และเพิ่มเสถียรภาพและความแข็งแรงทางด้านข้าง ซึ่งเป็นระบบที่ถูกใช้เสริมกำลังอาคารเพื่อต้านทานแผ่นดินไหวในหลายประเทศ ทั้งนี้ “สำหรับอาคารยุคเก่า กลุ่มแรกที่ควรได้รับการตรวจสอบ และวิเคราะห์ เป็นกลุ่มอาคารสาธารณะที่มีผู้คนใช้งานเป็นจำนวนมาก”เพื่อหาแนวทางป้องกัน และเสริมกำลังให้ต้านทานแผ่นดินไหวต่อไป
สามารถติดตามข่าวสาร และรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เว็บไซต์ https://www.kmitl.ac.th/ หรือ https://www.facebook.com/kmitlofficial รวมถึงผู้สนใจสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 0-2329-8000
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี