วันเสาร์ ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
นายโสภณ ซารัมย์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดการประชุมชี้แจงการบริหารกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปีงบประมาณ 2569 จัดโดยกระทรวงสาธารณสุข และ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เพื่อให้หน่วยบริการในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง 30 บาท) และผู้เกี่ยวข้องทั่วประเทศ รับทราบนโยบายและแนวทางการดำเนินงานระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ โดยมีผู้บริหารและผู้แทนจากหน่วยบริการ ทั้งระดับปฐมภูมิ ทุติยภูมิ และตติยภูมิ ภาครัฐและเอกชน รวมถึงผู้แทนสภาวิชาชีพทางการแพทย์ต่างๆ เข้าร่วม ณ ห้องประชุมวายุภักษ์ 3–4 โรงแรมเซ็นทารา ไลฟ์ ศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์
นายโสภณ กล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติให้มีคุณภาพ ประสิทธิภาพและเป็นธรรม เพื่อให้คนไทยเข้าถึงบริการสุขภาพได้อย่างเท่าเทียม ต่อยอดจากการปฏิรูประบบ “30 บาทรักษาทุกที่” ซึ่งได้ยกระดับบริการที่เพิ่มความสะดวกยิ่งขึ้น ทั้งโรคมะเร็งรักษาทุกที่ ผู้ป่วยในไม่ต้องใช้ใบส่งตัว และเปลี่ยนสถานพยาบาลประจำตัวใช้สิทธิได้ทันที เป็นต้น ที่ยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง รองรับความท้าทายใหม่ของระบบสุขภาพ โดยเฉพาะสังคมผู้สูงอายุ พร้อมลงทุนด้านสาธารณสุขเพิ่มขึ้นในการดูแลโรคสำคัญ เช่น มะเร็ง โรคไต เป็นต้น ช่วยลดการเสียชีวิตและภาระค่าใช้จ่ายของครอบครัว รวมถึงส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่นและแพทย์แผนไทย ช่วยสร้างสุขภาวะทั้งกายและใจให้ประชาชน
ทั้งนี้ รัฐบาลพร้อมเดินหน้า 6 แนวทางสู่ “การยกระดับ 30 บาทรักษาทุกที่” ดังนี้ 1.เตรียมความพร้อมรองรับสังคมผู้สูงอายุ ส่งเสริมการมีสุขภาพดีและมีความตระหนักต่อสุขภาพ (Health Literacy) 2.ปรับการรักษาพยาบาล เพิ่มบริการดูแลรักษาผู้ป่วยในที่บ้าน โดยทางกระทรวงสาธารณสุขได้เริ่มดำเนินการแล้ว 3.ส่งเสริมพัฒนาศูนย์รักษามะเร็ง เครื่องฉายรังสีรักษามะเร็งฟรีและครอบคลุมเพื่อดูแลประชาชน 4.ฟอกไตฟรีได้ทุกแห่ง เพื่อลดค่าใช้จ่ายของประชาชนให้ได้มากที่สุด 5.ให้ความสำคัญระดับท้องถิ่น ทั้ง รพ.สต. ที่ถ่ายโอน และ อสม. ในการทำงานเชื่อมโยงกันกับกระทรวงสาธารณสุข และงบประมาณเชื่อมตรงกับ สปสช.และ 6.ส่งเสริมการตรวจคัดกรองโรคเชิงรุก ด้วยเทคโนโลยีและระบบสุขภาพสมัยใหม่
นายวรโชติ สุคนธ์ขจร รมช.สธ. กล่าวว่า “รัฐบาลให้ความสำคัญกับระบบบัตรทองที่เป็นกลไกในการสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของประเทศ ซึ่งการบริหารกองทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพเป็นปัจจัยสำคัญในการยกระดับคุณภาพบริการ ลดความเหลื่อมล้ำด้านสุขภาพ และสร้างความเชื่อมั่นด้านระบบสุขภาพ โดยกระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายที่พร้อมให้การสนับสนุนการพัฒนาระบบบัตรทองโดยมีเป้าหมายเพื่อดูแลสุขภาพให้กับไทยทุกคน”
นพ.สมฤกษ์ จึงสมาน ปลัด สธ. กล่าวว่า สธ. เดินหน้า 5 ยุทธศาสตร์หลัก ที่สอดคล้องหลักการระบบบัตรทอง ที่ต่างมีเป้าหมายเพื่อการดูแลสุขภาพคนไทยทุกคน คือ 1.เพิ่มประสิทธิภาพระบบบริการสุขภาพเชิงพื้นที่ ลดเหลื่อมล้ำ ที่ตอบรับนโยบาย "30 บาท รักษาทุกที่" และการขยายการเข้าถึงบริการ โดยเฉพาะในพื้นที่ กทม. 2.สร้างสุขภาพดีทุกช่วงวัย คนไทยแข็งแรง ทั้งขับเคลื่อนเด็กพัฒนาสมวัย วัยทำงานพฤติกรรมสุขภาพดี ลดภาวะพึ่งพิงผู้สูงอายุ ยกระดับควบคุมป้องกัน NCDs และ การจัดการสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการมีสุขภาพที่ดี 3.เพิ่มขีดความสามารถ นวัตกรรมทางการแพทย์และสาธารณสุข ดิจิทัลสุขภาพ ระบบข้อมูลสุขภาพอัจฉริยะ 4.เพิ่มมูลค่าเชิงเศรษฐกิจสุขภาพ ทั้งกบริการสุขภาพ ผลิตภัณฑ์สุขภาพ สมุนไพรไทย การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ อุตสาหกรรมสุขภาพ และพัฒนานวัตกรรมทางการแพทย์ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ และ 5.บุคลากรมีขวัญกำลังใจ และคุณภาพชีวิตการทำงานที่ดี
ด้าน นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า ตลอดเวลากว่าสองทศวรรษที่ผ่านมา ระบบบัตรทองสามารถขับเคลื่อนไปได้ด้วยความร่วมมือจากหน่วยบริการทั่วประเทศ ซึ่งเป็นกำลังสำคัญที่ทำให้ประชาชนผู้มีสิทธิราว 48 ล้านคน ได้รับบริการด้านสุขภาพที่มีคุณภาพและมาตรฐานอย่างต่อเนื่อง และเพื่อให้การดำเนินงานของกองทุนบัตรทองปีงบประมาณ 2569 เป็นไปในทิศทางเดียวกันและบรรลุเป้าหมายนโยบายที่กำหนดไว้ จึงนำมาสู่จัดการประชุมชี้แจงการบริหารกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติฯ ในวันนี้ เพื่อสร้างความเข้าใจในแนวทางปฏิบัติ หลักเกณฑ์ และเงื่อนไขการบริหารจัดการกองทุน รวมถึงชี้แจงสิทธิประโยชน์และประเด็นการเปลี่ยนแปลงใหม่ เพื่อให้หน่วยบริการดำเนินงานได้อย่างถูกต้องและเป็นมาตรฐานเดียวกัน พร้อมเปิดเวทีให้ผู้ให้บริการทุกภาคส่วนได้ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์ เพื่อพัฒนาระบบหลักประกันสุขภาพของประเทศให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น


เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี