lผู้นำ และคนทั่วไป ที่ทำงานได้สำเร็จ บรรลุผล มีหลักคิดสำคัญอะไร? อย่างไร?
๑.การศึกษา เรียนรู้ ปฏิบัติ จากการแสวงหาความเป็นจริง ด้วยสติปัญญา คิดเป็นวิทยาศาสตร์ มีเหตุผลตรวจสอบที่มาที่ไปได้
๒.เวลา การพัฒนาก้าวไปข้างหน้า กับเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์
(๑) เวลาที่ผ่านมาในอดีต ในยุคที่วิทยาศาสตร์ยังไม่พัฒนาก้าวหน้า
การเสนอความคิดในทุกเรื่อง ชีวิต สุขภาพ มนุษยชาติ จักรวาล ฯลฯ และศาสนา มีความจำกัด มีข้ออ่อน
มักอาศัยศรัทธา ความเชื่อ หรือความรู้ ที่มีความจำกัด เข้าไปไม่ถึงความจริงในหลายเรื่อง เช่น ในยุคที่เกิดศาสดาของศาสนาต่างๆ ของโลก ทั้งหมด ที่เป็นที่นับถือของชาวโลกช่วงนั้น “ความรู้เรื่อง โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์” ยังไม่เป็นที่รับรู้ ศาสดาต่างๆ ยังเชื่อว่า “พระอาทิตย์ หมุนรอบโลก” และ“โลกแบน” เพราะการมองด้วยสายตา ความเข้าใจ ในยุคนั้น ที่มีสติปัญญา จำกัด ได้เห็น “ขอบฟ้า ในทะเล” การเดินทางไปได้ไกล โดยเฉพาะทางเรือ ก็ทำให้เข้าใจได้เช่นนั้น ทำให้ “กาลิเลโอ” ผู้พิสูจน์ว่า “โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์” แต่ถูกคริสตจักรกล่าวหา และจับลงโทษ “กาลิเลโอ” เพราะ“สิ่งที่นำเสนอ” ไปท้าทาย กับ “ศาสนจักร” (อำนาจปกครองทางศาสนา)
(๒) ณ เวลาในปัจจุบัน ที่ความเจริญก้าวหน้า พัฒนาไปอย่างเร็วขึ้น ทำให้เรารับรู้ และเข้าใจความเป็นจริง ที่ใกล้สู่ความจริงมากขึ้น แต่บางเรื่อง เราก็ยังมีความรู้ ไม่พอที่จะเข้าใจได้หมด
(๓) เรา ผู้นำฯ ที่แสวงหาสัจจะความเป็นจริง ต้องยอมรับ และใช้เวลา ใช้การพัฒนาทางด้านวิทยาศาสตร์ และความรู้ต่างๆ ที่มีมากขึ้น เข้าหาความจริงให้มากขึ้น ไปเรื่อย
ความจริง ๑ ขึ้นกับกาลเวลา หรือยุคสมัย กาลเวลา หรือยุคสมัย ๑ มีเหตุปัจจัยที่หลากหลาย ที่มี “ลักษณะทั่วไป” ของกาลเวลานั้น และที่สำคัญยิ่ง คือ “ลักษณะเฉพาะของมัน” ลักษณะทั่วไป ของยุคหนึ่ง กาลเวลาหนึ่ง ก็เป็นลักษณะเฉพาะของช่วงเวลานั้นและเมื่อกาลเวลาผ่านไป เหตุปัจจัยต่างๆ ที่มีทั้งที่กุมได้ และกุมไม่ได้จะเป็นตัว “กำหนด” สถานการณ์ และเหตุการณ์นั้นๆ
หรือให้เข้าใจได้ง่าย คือ
“ประวัติศาสตร์ของมนุษย์ ในเวลาหนึ่ง ก็มีลักษณะเฉพาะของมัน”
และอาจจะมีลักษณะที่แตกต่างหลากหลาย ในแต่ละพื้นที่ของแต่ละส่วนในโลกใบนี้
๔.ผู้นำหลากหลายส่วนในปัจจุบัน เริ่มยอมรับ และเข้าใจมากขึ้น เกี่ยวกับเรื่องการเมืองและสังคม
เช่น
ยุคหนึ่ง เชื่อว่า “สังคมคอมมิวนิสต์ ที่คน รวยจนหญิง ชายฯ” จะมีความเสมอภาคแท้จริงได้ (แต่เวลาและการกระทำผ่านไปก็ได้พิสูจน์แล้วว่า ไม่เป็นจริง ณ เวลาปัจจุบันและอนาคตอันใกล้) ความเชื่อเรื่องประชาธิปไตย “คนเสมอภาคเท่าเทียม ไม่มีความเหลื่อมล้ำ” โดยยกตัวอย่าง ประเทศแม่แบบประเทศนั้น ประเทศนี้ แต่มาในยุคปัจจุบัน กลับกลายเป็นว่า“ความเป็นประชาธิปไตย” กลับลดน้อยถอยลงและกลับกัน “เผด็จการ” ที่ถูกกล่าวว่า เป็นเรื่องผิด จะต้องโค่นล้ม ต้องทำลายกลับเป็นว่า “หากเป็นวิธีการที่จะสร้างความสุข เสมอภาคให้คนส่วนใหญ่ ด้วยอุดมคติของผู้นำฯ” ก็เริ่มเป็นที่ยอมรับมากขึ้น ในสังคมโลก
หัวใจหลักของการเมือง คือ การเอาผลประโยชน์ของประชาชนส่วนมาก เป็นตัวตั้ง
๕.ในเรื่องของ “ศาสนา” กลับกลายเป็นเรื่องใหญ่ที่ผู้นำและสาวกฯ ผู้มีความศรัทธาและ “กล่าวยกย่อง ศาสดา หรือศาสนา ที่ตนนับถือ” ดี โดดเด่น เหนือว่า “ศาสนาอื่นๆ”รวมทั้งเหนือกว่า “ความคิดทางวิทยาศาสตร์ ความก้าวหน้าของโลกและสังคม”
โดยกล่าวว่า
-“พระเจ้า เป็นผู้สร้างโลก” และเป็นผู้กำหนด วิถีชีวิตและความเป็นความตายของมนุษย์ เรื่องของนรก สวรรค์ชาติก่อน ชาติหน้า มีอยู่จริง เพื่อกำหนดให้มนุษย์ “ทำดีไม่ทำชั่ว” และ “ทำดีได้ขึ้นสวรรค์ ทำชั่วตกนรก”
-พระเจ้า หรือ ศาสดา ของ ศาสนา อยู่เหนือโลก และความจริงทั้งปวง รู้เรื่องของชีวิต โลก จักรวาล สวรรค์ ดีกว่า “ความเจริญก้าวหน้าและความจริงทางวิทยาศาสตร์”
-พระเจ้า หรือศาสดา ของศาสนา มีอายุยืนยาวเป็นพันปี หมื่นปี มีชีวิตเป็นชั่วนิรันดร์ ทั้งๆ ที่ความจริงของชีวิต และทางวิทยาศาสตร์ ให้ความจริงว่า “ชีวิตมนุษย์ มีชีวิตจำกัด”
-และเรื่องความรู้ ศักยภาพของคนเรา มีขีดขั้นและจำกัด เป็นไปตามสภาพของแต่ละยุคแต่กลับเสนอด้วยความศรัทธาว่า “แต่พระเจ้า ศาสดาของศาสนา” เป็นข้อยกเว้น
-การอ้างอิง พระธรรม หรือพระไตรปิฎก หรือพระคัมภีร์ว่า ถูกต้องหมดในทุกเรื่อง ทั้งๆ ที่ “พระธรรม” เป็นเรื่องเกี่ยวกับ “คำสอนในการใช้ชีวิต ให้พ้นทุกข์ มีสุข”
lประเด็นหลัก หรือหัวใจในการ “เข้าใจอย่างแท้จริงต่อศาสนา” คือ
๑.ศาสนา หรือศาสดา ของทุกศาสนา เน้นในเรื่องจิตใจ การคิดดีทำดี ไม่ทำชั่ว การทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว มิใช่ ไปเกี่ยวข้อง อธิบายไปทุกเรื่อง
๒.ต้องจับแก่นแกน มิใช่ กระพี้ จับ หลัก ที่มิใช่ เปลือก
๓.อย่าไป “ยกเรื่อง อภินิหาร สิ่งมหัศจรรย์ หรือเรื่องเกินจริง” มาอธิบาย ศาสนา จะทำให้เกิดความเสื่อมเสีย หรือเป็นการทำลายคุณค่าของศาสนา
๔.การใช้สติปัญญา มอง “ศาสนาหนึ่ง” ควรใช้ตรรกะเดียวกับการมองทุกศาสนาเพราะมีปัญญาชนหลายคน เวลามองและวิเคราะห์ “ศาสนาที่มีพระเจ้า” จะใช้ตรรกะ แบบมีเหตุมีผล ใช้ความคิดวิทยาศาสตร์ที่มีเหตุปัจจัย รองรับแต่พอมามอง และวิเคราะห์ศาสนา ที่ “ตนเชื่อ ศรัทธา” กลับใช้ “ความศรัทธานำ”และไปอ้างทุกอย่าง รวมทั้ง คัมภีร์ของศาสนา ที่เขียนตามหลังมา หลังจากศาสดาของศาสนาสิ้นพระชนม์แล้ว
@ หลักสำคัญ : เราต้องมีความรู้จริง จากการศึกษา ทำความเข้าใจ ด้วยสติปัญญา ความจริง และ
หมั่นสรุปบทเรียนไปทุกช่วงของการเดินทาง แก้ไขปรับปรุง และพัฒนาตนเอง และทีมงานไปตลอด มีความมุ่งมั่นเอาการเอางาน และเอาจริง มีเป้าหมายชัดเจน รู้ถึงแนวทางที่จะเดินไปข้างหน้า อย่างมีจังหวะ ขั้นตอน ปัญหา อุปสรรครู้ และเรียนรู้ว่า อะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ คนที่รู้ว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่นั้น ย่อมมีความมุ่งมั่น รู้ถึงผลที่จะได้รับ มีคุณค่าต่อตนเองและส่วนรวม
ส่งเสริมให้เกิดความรู้สึกผูกพันกันและความเป็นเจ้าของ (Foster sense of connection & belonging) รู้จักใช้คน Put the right man in the right job. สร้างคนมาร่วม และรับช่วงงาน โดยการสนับสนุนให้ผู้อื่นเติบโต (Nurture growth)
lรู้ และเรียนรู้ว่า : “อะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้”ในช่วงปัจจุบัน และอนาคต
เรื่องราวต่างๆ ในประวัติของมนุษย์ที่ผ่านมา คนในยุคโบราณ คิดและเชื่อว่า “เป็นไปไม่ได้” แต่ความเจริญก้าวหน้า ทางวิทยาศาสตร์ ได้พิสูจน์ให้เราเห็นแล้วว่า “ทำได้” เช่น เหล็กวิ่งได้ (รถยนต์) เหล็กลอยในอากาศได้ (เครื่องบิน) ฯลฯ
เราจะยอมรับว่า “ทำไม่ได้ เป็นไปไม่ได้” หากเราเอาจริง และลงมือทำอย่างเต็มความสามารถเราเอาจริงแล้ว เราให้ “เวลา” กับสิ่งๆ นั้นมากพอแล้ว แต่ การมีความพยายามแล้วล้มเหลว ดีกว่าไม่ได้พยายาม ทำแล้วเสียใจ ดีกว่าเสียใจที่ไม่ได้ทำ
ชีวิตเป็นของเรา เรากำหนดได้ (ไม่มากก็น้อย) เราเลือกได้อยู่แล้ว มันชีวิตเรา มันคือ สังคม บ้านและแผ่นดินของเรา
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี