แนวหน้า มั่นคง ตรงไป ตรงมา...nn สิ่งสำคัญที่สุดที่ท่านต้องมีอยู่เสมอไปในการทำงาน คือ ความกระตือรือร้น ความบริสุทธิ์ใจ และอุดมคติซึ่งมีอยู่พร้อมมูลในตัวท่านแล้วในขณะนี้ ถ้าท่านรักษาคุณสมบัติเหล่านี้ไว้ได้โดยตลอด อนาคตของท่านและของประเทศชาติจะต้องแจ่มใสอย่างไม่ต้องสงสัย... (ความตอนหนึ่งจากพระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 13 กรกฎาคม 2510)

...nn คนที่มองการเมืองแบบชั้นเดียวเชิงเดียวอาจสงสัยว่าทำไมอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี 4 เดือน (แต่ยังไม่รวมวันรักษาการนายกฯ อีกประมาณ 4 เดือน) จึงใจถึงกล้าตั้ง ธรรมนัส พรหมเผ่า หัวหน้าพรรคกล้าธรรม ให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แต่สำหรับคนที่เข้าใจการเมืองไทยดีมากๆ ต่างให้คำตอบเรื่องนี้ชัดๆ สั้นๆ ว่า ไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่อนุทินจะต้องกลัวการตั้งธรรมนัสเป็นรัฐมนตรี เพราะกว่านักร้องการเมือง และ สส. จากพรรคฝ่ายค้าน และฝ่ายแค้นจะนำเรื่องไปฟ้องร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ก็ต้องกินเวลาอย่างน้อยๆ 2-3 เดือน ซึ่งก็หมายความว่ากว่าจะตัดสินเรื่องนี้ได้สำเร็จเสร็จสิ้น ก็หมดเวลาของการเป็นรัฐบาลอายุสั้นเพียง 4 เดือนไปแล้วเพราะฉะนั้นด้วยเหตุฉะนี้ จึงทำให้อนุทินกล้าลุยไฟตั้งธรรมนัสเป็นรัฐมนตรี ทราบแล้วเปลี่ยน

...nn แต่หากจะถามว่าแล้วทำไม แพทองธาร ชินวัตร ในสมัยเป็นนายกรัฐมนตรี จึงไม่กล้าตั้งธรรมนัสเป็นรัฐมนตรี ตอบได้ว่า เพราะคนวางเกมการเมืองให้แพทองธารได้คิดสะระตะเบ็ดเสร็จแล้ว เห็นว่ารัฐบาลแพทองธารคงจะอยู่ในอำนาจได้จนครบวาระการเป็นรัฐบาล จึงไม่เสี่ยงตั้งธรรมนัส แต่สุดท้ายรัฐบาลแพทองธารก็ต้องพบจุดจบเพราะคลิปเสียงสนทนาระหว่าง uncle ฮุนเซนกับหลานอิ๊งค์

...nn แต่จะว่าไปแล้วรัฐบาลแพทองธารก็อยู่ในตำแหน่งยาวนานเกือบปี แต่สำหรับรัฐบาลอนุทินนั้นจะอยู่ในอำนาจได้จริงๆ แค่เพียง 4 เดือน ส่วนเกมการเมืองที่อนุทินวางไว้ว่าจะกลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง หลังการเลือกตั้ง สส. ครั้งหน้า ก็เป็นเกมที่ยังไม่สามารถจะปักใจเชื่อได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าพรรคภูมิใจไทยจะมาเป็นอันดับหนึ่ง เพราะต้องไม่ลืมว่าการเมืองไทยนั้น อะไรก็เกิดขึ้นได้เสมอ ไอ้ที่คิดว่าแน่เป็นแช่แป้ง ก็พลิกกลับไปกลับมาได้หลายตลบแล้วก็ต้องไม่ลืมว่าพรรคคู่แข่งที่น่ากลัวมากที่สุดของภูมิใจไทยคือพรรคประชาชน ไม่ใช่พรรคเพื่อไทย

...nn ดังนั้น ต่อให้พรรคภูมิใจไทยดูดคนของพรรคเพื่อไทยเข้าไปมากเท่าไร ก็อาจจะเป็นผลร้ายต่อภูมิใจไทยมากขึ้นเท่านั้นก็เป็นได้ เพราะคนที่มองการเมืองแบบพรรคประชาชนต่างรังเกียจคนของพรรคเพื่อไทยไม่น้อยไปกว่ารังเกียจคนของพรรคภูมิใจไทย ดังนั้น ต้องมองเกมการเมืองหลังวันเลือกตั้ง สส. ครั้งหน้าให้ดีว่า ระหว่างภูมิใจไทยกับประชาชน ใครจะได้ สส. มากเป็นอันดับหนึ่ง แต่ไม่มีทางที่จะมีพรรคการเมืองไหนได้ สส. เกินกึ่งหนึ่งของ สส. ทั้งสภาอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้น พรรคไหนก็ตามที่โม้ว่าจะกวาด สส. เกิน 250 เสียง ก็แค่ขี้คุยขึ้โม้เท่านั้น

...nn คนไทยส่วนใหญ่ยังคงต้องเผชิญกับปัญหาหนี้ครัวเรือนต่อไป เพราะรายได้ไม่มี หรือมีแต่ก็ไม่ดี ไม่พอกินไม่พอใช้ ก็จึงจำเป็นต้องสร้างหนี้เพื่อให้มีกินไปวันๆ เรื่องหนี้ครัวเรือนก็เป็นปัญหาใหญ่ของรัฐบาลมาหลายชุดแล้ว แต่ก็ไม่มีรัฐบาลไหนแก้ปัญหานี้ได้อย่างจริงๆ จังๆ ส่วนหนี้สาธารณะก็เป็นปัญหาใหญ่ของประเทศ ซึ่งเป็นมากว่า 10 ปีแล้ว รัฐบาลไทยก็ดีแต่สร้างหนี้สาธารณะไปเรื่อยๆ เพราะมันสร้างง่าย สร้างแล้วไม่ต้องรับผิดชอบ สร้างแล้วก็สะบัดตูดไป เมื่อหมดอำนาจรัฐ แต่หนี้สาธารณะก็พอกพูนเป็นดินพอกหางหมู ครั้นมาถึงรัฐบาลอนุทิน ที่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ชื่อ เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ บอกว่ารัฐบาลนี้คำนึงถึงกรอบวินัยทางการคลัง และระมัดระวังตัวมากขึ้นเมื่อสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือทางเศรษฐกิจปรับ outlook ของไทยเป็นลบ (negative outlook) โดยแสดงความกังวลเรื่องการเมืองและความสามารถในการแข่งขันของไทย เอกนิติ บอกว่ารัฐบาลนี้ไม่กู้เงินเพิ่ม แต่ใช้วงเงินเดิมตามงบประมาณฯ 2569 แต่ก็บอกว่าหากไม่จำเป็นจะไม่ขยายเพดานหนี้สาธารณะ แต่ช้าก่อน มันหมายความว่าหากจำเป็นก็จะต้องขยายเพดานหนี้สาธารณะ ใช่หรือไม่ แล้วอะไรเล่าคือความจำเป็น เพราะเมื่อเวลาจะขยายเพดานหนี้สาธารณะ ก็จะอ้างว่าจำเป็นทั้งนั้นแหละ

...nn สังคมไทยนี้หนอสุดแสนประหลาด เพราะเข้าใจคนในสังคมไทยได้ค่อนข้างยากเย็นเสียเหลือเกิน คนบางจำพวกบอกว่าหนังสือพิมพ์จะตายหมดประเทศไทย เพราะไม่มีใครอ่านหนังสือพิมพ์อีกแล้ว ธรรมกรก็ตอบไปว่า หนังสือพิมพ์ดีๆ ไม่มีวันตายไปจากประเทศไทยเป็นอันขาด หากคนไทยยังมีสติปัญญา มีมันสมอง และต้องการข้อมูลข่าวสารที่หนักแน่นจริงจัง แต่ถ้าหากคนไทยไม่ต้องการเป็นคนมีมันสมองอีกต่อไป ก็หมายความว่าหนังสือพิมพ์ดีๆ ก็ต้องอันตรธานไปจากประเทศไทย

...nn แต่ก็อีกนั้นแหละ เมื่อคุยกันไปคุยกันมาก็มีข่าวว่าผู้ทำรายการเที่ยวๆ ท่องๆ โดยใช้สื่อออนไลน์เป็นช่องทางการขายมาระยะหนึ่ง จนเขาผู้นั้นทำรายการจนมีคนตามดูมากเป็นล้านคน เขาผู้นั้นก็ประกาศจะตั้งสำนักพิมพ์ขึ้นมา อ้าว! อะไรกันเล่า ก็ไหนคนไทยบางจำพวกบอกว่า ไม่มีใครอ่านหนังสือเล่มๆ และหนังสือพิมพ์อีกแล้ว แต่แล้วเหตุใดพวกเขา และพวกเธอจึงจะตั้งสำนักพิมพ์ขึ้นมา หรือว่าไอ้คำพูดที่ว่าไม่มีใครอ่านหนังสือเล่มๆ และหนังสือพิมพ์อีกแล้ว มันเป็นเพียงการผายลมทางปากเท่านั้น บอกตรงๆ ว่าสับสนงุนงงกับคนในสังคมนี้มากจริงๆ สรุปว่าจะอ่านหนังสือหรือจะไม่อ่านกันแน่หรือจะเลือกอ่านเฉพาะหนังสือที่ไร้สาระเท่านั้น โอละหนอ สังคมไทยที่แสนสับสน

...nn แต่จะว่าไปนะ สังคมไทยก็สับสนจริงๆ นั่นแหละ เพราะคนที่อยากเป็นข่าว ไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง นักธุรกิจ รวมถึงคนที่กระสันจะมีอำนาจรัฐ ก็ดันไปอาศัยการเป็นข่าวโดยไม่ผ่านสื่อมวลชนกระแสหลัก เช่น หนังสือพิมพ์ วิทยุ และโทรทัศน์ เพราะเชื่อลมปากพวกที่ไม่ใช่สื่อฯ ตัวจริงว่า เดี๋ยวนี้ไม่มีใครอ่านหนังสือพิมพ์ ดูโทรทัศน์ ฟังวิทยุกันแล้ว เพราะหันไปเสพสื่อฯ ออนไลน์กันหมดแล้ว แต่เวลาคนเหล่านั้นมีปัญหาเชิงลบสารพัดชนิด ก็หันไปกราบกรานสื่อฯ กระแสหลักให้ช่วยลงข่าวให้หรือแก้ข่าวให้ อ้าว! ก็ในเมื่อมองว่าสื่อฯ กระแสหลักไม่มีน้ำยา ไม่มีใครสนใจ ไม่มีใครติดตามอีกแล้ว แล้วจะต้องไปกราบกรานสื่อฯ กระแสหลักทำไมเล่า ดังนั้น เมื่อนักการเมืองและนักธุรกิจ รวมถึงผู้ที่อยู่ในวงการรัฐวิสาหกิจ และข้าราชการทุกสังกัดปักใจเชื่อว่าสื่อฯ กระแสหลักไม่มีน้ำยาแล้ว ก็ไม่ต้องหันไปมอง ไม่ต้องวิ่งไปกราบกรานสื่อฯ กระแสหลักให้ช่วยแก้ข่าวเลวๆ ทรามๆ ของตนเองอีกต่อไปแล้วหากเชื่อว่าสื่อฯ กำมะลอที่ใช้ platform ออนไลน์เป็นช่องทางสร้างข่าวให้ตนเองดูดี ดูเด่นเกินจริงได้ ก็จงใช้สื่อฯ ออนไลน์ต่อไปก็แล้วกัน แต่ขอบอกให้รู้ไว้ว่า หากมองข้ามความสำคัญของสื่อฯ กระแสหลักแล้ว ก็อย่ามาโกรธแค้นกันในวันที่ถูกสื่อฯ กระแสหลักตีแผ่ เปิดโปงความเลวทรามต่ำช้าของตนก็แล้วกัน ไม่ได้ขู่ ไม่ได้อาฆาต แต่ย้ำว่าพูดความจริงเพื่อเตือนสติคนที่คิดว่าสื่อฯ กระแสหลักตายหมดแล้ว หรือไม่มีน้ำยาอีกแล้ว

...nn อ้อ! แล้ว ธรรมกร ก็ขอบอกกล่าวไปยังคนจำพวกที่ยังมีอำนาจรัฐ หรือมีอำนาจทุน แต่ชอบอ้างว่าไม่มีงบประมาณสำหรับซื้อโฆษณาในสื่อฯ กระแสหลัก โดยอ้างว่าไม่มีคนอ่าน ไม่มีคนดูอีกแล้ว แต่ทีเวลาซื้อโฆษณาผ่านสื่อฯ กระแสรองจำพวกที่ไม่ใช่นักข่าวตัวจริงแล้วละก็ ดันยอมควักเงินจ่ายหนักๆ ทีละ 7-8 แสนบาทเพื่อให้รายการออนไลน์ไปสัมภาษณ์ตัวเอง ก็ขอให้จำไว้ว่า หากคิดว่าสื่อฯ กระแสรองจำพวกออนไลน์มีความสำคัญมาก มีความน่าเชื่อถือมาก มีคนดูมาก ก็เชิญตามสบาย แต่ขอย้ำเหมือนเดิมว่า อย่าให้ความเลวทรามใดๆ ของตนหลุดไปถึงมือสื่อฯ กระแสหลักเป็นอันขาดเชียวนะ ย้ำว่าอย่าให้หลุดถึงสื่อฯ กระแสหลักก็แล้วกัน แล้วจะได้รู้กันว่าอะไรหมู่ อะไรจ่า

...nn ขอย้ำว่าที่พูดแบบนี้ ไม่ใช่ว่าธรรมกรดูแคลนสื่อฯ กระแสรอง จำพวกสื่อฯ ออนไลน์ แต่จำเป็นต้องพูดแบบย้ำๆ ณ ตรงนี้ก็เพราะว่ารำคาญและรังเกียจพวกที่เคยมองข้ามหัวสื่อฯ กระแสหลัก แต่แล้ววันหนึ่งก็กระเสือกกระสนไปกราบกรานสื่อฯกระแสหลักให้ช่วยแก้ข่าวเลวๆ ร้ายๆ ของตนเองให้...nn

ธรรมกร