เปิดวิธีประสบความสำเร็จในการเป็น “นักคอนเทนต์ครีเอเตอร์” ดาราหน้าจอผู้สร้างเนื้อหาสร้างสรรค์ “สินค้าและบริการ” ที่ดีและเป็นที่สนใจติดตามพร้อมสนับสนุนทุกมิติเรื่องราวแก่ผู้สร้างอย่างยั่งยืน
“นักสร้างคอนเทนต์” หนึ่งในสายงานอาชีพติด 5 อันดับที่เป็นที่นิยมในปัจจุบันนี้ ซึ่งผู้สร้างสรรค์คอนเทนต์บนสื่อที่ประสบความสำเร็จ แน่นอนต้องสร้างสรรค์เนื้อหาให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย ตอบสนองตามความต้องการของรับผู้ชมหรือลูกค้า โดยวัดความสำเร็จผ่านยอด Engagement, ยอด View, ยอดอันดับบน Search Engine ยิ่งในปัจจุบันแทบทุกองค์กรจึงได้ให้ความสำคัญกับการสร้างสรรค์คอนเทนต์เพื่อผลิตเนื้อหาที่เป็นประโยชน์ลง Social Media ต่าง ๆ ขององค์กร ทำให้สานงานนี้เป็นที่ต้องการชนิดที่เรียกว่า จบแล้ว แย่งตัวกันเอาไปทำงานทันที
นักสร้างคอนเทนต์ที่ดี ต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ในการสร้างสรรค์เนื้อหาหรือเรียบเรียงข้อมูลให้เข้าใจโดยง่าย สละสลวย เห็นแล้วสะดุด ต้องหยุดรับสาร และทันต่อเหตุการณ์ สำคัญคือ “ต้องตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย” จึงจะทำให้กลุ่มเป้าหมายรักและติดตามระยะยาวสามารถจึงจะสามารถก่อเกิดผลดีต่อแบรนด์ หรือ ต่อองค์กรได้
อย่างไรก็ดี “นักสร้างคอนเทนต์” หรือ “คอนเทนต์ครีเอเตอร์” ใช่ว่าจะเป็นกันได้ง่ายๆ และเมื่อเป็นแล้วก็ใช่ว่าจะมีงานไหลมาเทมา เพราะที่มีอยู่ ส่วนใหญ่ก็ยังเป็นมือสมัครเล่น ยิ่งในยุคนี้สมัยนี้คอนเทนต์ครีเอเตอร์แทบไม่ต่างอะไรจากเหล่าดารา คือ มีคนใหม่ๆ เกิดใหม่แทบทุกวัน มีมากล้นจนแทบจะเดินหายใจรดกัน เช่นนั้นแล้ว คอนเทนต์ครีเอเตอร์แบบไหนที่จะมี “งานเข้า” แบบเช้าไม่เว้น เย็นไม่ว่าง กลางวันคิวแน่น คอนเทนต์ครีเอเตอร์ที่สามารถค้นหาไอเดียใหม่ๆ สดๆ อยู่ตลอดเวลาต้องเรียนจบ “ตรงสาย” หรือ “ไม่ตรงสาย” อันนี้เป็นคำถามที่หลายคนอยากรู้
ทำอย่างไรจะดังสะเทือนทุกจอได้ทุกคลิป
อาจารย์สุดถนอม รอดสว่าง หัวหน้าหลักสูตรการสร้างสรรค์ดิจิทัลคอนเทนต์และสื่อ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) บอกว่า การบรรลุเป้าหมายของ “นักสร้างสรรค์เนื้อหา” ไม่มีสูตรสำเร็จขั้นตอน 1-2-3-4-5 ที่ตายตัวถึงจะ “ประสบความสำเร็จ” การจะทำแล้วคอนเทนต์สนุก คุณภาพดี อาจจะเป็นที่นิยมของคนกลุ่มหนึ่ง แต่ไม่ตอบโจทย์ความต้องการของคนอีกกลุ่มหนึ่งได้เช่นกัน
“อย่างไรก็ตามตัวกุญแจหลักที่จะช่วยทำให้เราคาดการณ์ทิศทางให้ออกมาตรงใจกลุ่มเป้าหมายที่สุดคือสิ่งที่เรียกว่า กลยุทธ์เนื้อหา หรือ Content Strategy ซึ่งจะเป็นเป้าสำคัญที่ต้องกำหนดให้ได้ว่าคอนเทนต์สำหรับแบรนด์เราที่เราคิดว่าดีที่สุดควรเป็นแบบไหน เปรียบเสมือนแก่นของเรื่องที่จะตอบโจทย์และแก้ปัญหาให้กลุ่มเป้าหมาย หาได้โดยนำ สิ่งที่เราต้องการจะบอก + สิ่งที่ลูกค้าต้องการจะฟัง มาหาจุดร่วมกัน โดยเนื้อหาที่ตรงกันตรงนั้นก็คือ เนื้อหาที่ควรนำมาทำเป็น Content Strategy”
ตัวอย่าง ลูกค้าอยากรับประทานอาหารนอกบ้าน แต่ไม่อยากรอคิวนาน ผู้ประกอบการควรทำคอนเทนต์อะไรเพื่อตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มนี้?
ร้านอาหาร A ทำคอนเทนต์นำเสนอเนื้อหาเกี่ยวกับวัตถุดิบคุณภาพสูงและอร่อย
ร้านอาหาร B นำเสนอว่าที่ร้านมีแอปพลิเคชันสามารถสั่งเมนูล่วงหน้ามาถึงร้านได้กินเลยไม่ต้องรอ
คำตอบ : ร้านอาหาร A ลูกค้าอาจไม่เลือกใช้บริการ เพราะลูกค้าอาจจะรู้ว่าร้านนี้วัตถุดิบคุณภาพสูง แต่คอนเทนต์ที่นำเสนอไม่ใช่สิ่งที่ลูกค้าต้องการจะฟัง (ลูกค้ากำลังไม่อยากรอคิวต่างหาก) ดังนั้นปัญหาที่ลูกค้าพบไม่ได้ถูกแก้ไข
ขณะที่ร้านอาหาร B ตอบโจทย์ปัญหามากกว่า เพราะสื่อสารไปแล้วว่ามีบริการจองสั่งอาหารออนไลน์รอไว้ก่อนมาถึงร้านอาหาร ร้าน B ย่อมถูกปักหมุดเลือกมากกว่าจากความสะดวก สามารถสั่งได้กินได้ทันที
“เราต้องเลือกเรื่องที่จะเล่า ไม่จำเป็นต้องเล่าทุกอย่างที่เรามี บอกในสิ่งที่เขาต้องการ เราก็จะตอบโจทย์ลูกค้าได้ง่ายขึ้น แล้วคอนเทนต์ควรจะนำเสนอดีไซน์รูปแบบที่ Call to Action เล่าเรื่องให้ลูกค้าคิดถึงสินค้าเรา ในช่วงเวลาที่เขากำลังตัดสินใจ เป็นเหตุการณ์ใกล้ตัวกับกลุ่มเป้าหมาย จะทำให้คนฟังเข้าใจเรื่องเล่าได้ง่าย อินกับเรื่องเล่าเพราะสะท้อนให้เห็นพฤติกรรมที่ลูกค้าคุ้นเคย และตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่กำลังตัดสินใจ โดยให้เขาเห็นว่าสินค้าหรือบริการของเรา Be There - Be Useful - Be quick และตัดสินใจซื้อสินค้าของเรา ตรงนี้มันจะไปต่อกับเรื่อง Content marketing ยอดวิวและความนิยม”
ลำดับต่อมาในขั้นที่เหลือของการผลิตคอนเทนต์ก็แค่หา “กลุ่มเป้าหมาย” ความชอบกลุ่มลูกค้าซึ่งทำได้จากการวิเคราะห์ ‘Big Data’ ว่าเป็นใคร เพศอะไร อายุเท่าไหร่ ไลฟ์สไตล์ชีวิตอย่างไร จากนั้นเลือกวิธีการนำเสนอที่เพิ่มโอกาสการรับรู้และตัดสินใจในกลุ่มต่างๆ ที่แตกต่างกันไปในรายละเอียดและเทคนิค
“รูปแบบคอนเทนต์ครีเตอร์ 1.บทความในบล็อก 2.ภาพอินโฟกราฟิก 3.พอดแคสต์ 4.คลิปวิดีโอ ต้องจับคู่คอนเทนต์เข้ากับรูปแบบการเผยแพร่แต่ละแบบที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายและสารที่ต้องการจะสื่อเท่านั้น ไม่มีสูตรตายตัว ทุกอย่างต้องผสมผสานกัน เทคนิค รูปแบบ วัตถุประสงค์ เป้าหมาย ทำแล้วเช็คกระแสตอบรับ ทั้งเรื่องตัวเลข Engagement ดูยอด View ดูอันดับใน Search Engine ว่าแต่ละชิ้นงานดีหรือไม่ ถ้าไม่ เราควรปรับแก้อย่างไร พอเรารู้เราอาจจะตัดต่อ After Effects ใส่ทำนองเพลงแบบนี้ ลูกค้าชอบก็อาจจะต้องทำแนวซาวด์นี้ เพื่อตอบโจทย์มากขึ้นในการติดตามดูและเป็นแฟนคลับ”
“แต่ที่แน่นอนของคอนเทนต์ที่จะดับคือคอนเทนต์ไม่ดี คอนเทนต์บิดเบือน คอนเทนต์ไม่ตอบโจทย์ นี่คือสิ่งแรกสุดของคนทำคอนเทนต์ที่ต้องตั้งโจทย์ไว้”
เรียนดีมี “ประโยชน์”
อาจารย์สุดถนอม บอกต่อว่าเทคนิคการผลิตของ “คอนเทนต์ครีเอเตอร์” ที่ได้รับความนิยม “พัฒนา” มาจากวิธีการผลิตสื่อวิทยุโทรทัศน์ เมื่อภูมิทัศน์สื่อเปลี่ยน เทคโนโลยีเปลี่ยน พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป ทุกคนหันมาใช้สื่อออนไลน์มากขึ้น เพราะเข้าถึงข่าวสารได้ง่ายและรวดเร็ว “คุณภาพการผลิต” จึงเป็นกลไกอีกส่วนที่สำคัญสำหรับการเลือกรับสาร เพราะแสดงถึงความเป็นมืออาชีพ ความน่าเชื่อถือ
“คอนเทนต์ครีเอเตอร์ก็เปรียบเหมือนแฟน เวลาเรารักใคร ทำไม่ดีย่อมรักพัง ผู้บริโภคมีความทันสมัยและรู้เท่าทัน ดังนั้นขั้นตอนระหว่างสร้างคอนเทนต์จึงเป็นสิ่งสำคัญ คือ ถ้าเนื้อหาโดนใจเลยแต่ภาพไม่สวย ตัดต่อปวดหัว เราก็ไปเสิร์ชหาที่ดูง่าย ที่ทำดีกว่า กระบวนการผลิตคุณภาพดีการันตีความมืออาชีพน่าเชื่อถือกว่า เขาก็เปลี่ยนรับชมและติดตามทางนั้นแทน”
“ยิ่งโดยในยุคดิจิทัลนี้ เราจะสังเกตได้ว่า ถ้าเขาชอบ เขาเชื่อมั่น เขาพร้อมที่จะสนับสนุนติดตาม เราจึงจะมักเห็นนักคอนเทนต์ครีเอเตอร์ที่ดังๆ บ้านเรา พอเขาตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายได้ตรง เริ่มมีกลุ่มคนติดตาม งานโปรดักชั่นกระบวนการผลิตเขาจะดีขึ้นทันตาม ซึ่งเป็นทีมผลิตใหม่ๆที่เพิ่มคนเข้ามา”
ธงของนักคอนเทนต์ครีเอเตอร์ที่ตั้งไม่ว่าจะเป็น “ผู้นำทางความคิด” และ “อินฟลูเอนเซอร์” หรือ “บุคคลที่มีชื่อเสียง” ไปจนกระทั่ง “ฟรีแลนซ์” จึงจำเป็นที่ต้องเรียนเพื่อพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลาทั้งในและนอกตำราเรียน
“คนทำตรงนี้ต้องอัพเดทอยู่เสมอทั้ง ข้อมูล เหตุการณ์ รูปแบบ เทคนิคการผลิต ที่สำคัญควรรู้กฎหมาย จึงมีหลักสูตรการสร้างสรรค์ดิจิทัลคอนเทนต์และสื่อ เพื่อสอนการเป็นนักคอนเทนต์ครีเอเตอร์ที่ดี เพราะ Digital Footprint หรือรอยเท้าที่เราเคยทำอะไรไว้ คนดูไม่ลืมกันง่ายๆ หากทำไม่ดีครั้งเดียวก็ดับได้เลย เราจึงเรียนเพื่อรู้ และป้องกันปัญหาที่จะเกิดจะได้ไม่เป็นปัญหาตามหลัง ดังนั้นที่คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์จึงไม่ได้สอนแค่เทคนิคการผลิตคอนเทนต์ แต่เราสอนให้นักศึกษารู้เท่าทัน รู้รอบ รู้ระวัง และ สามารถประกอบธุรกิจ เป็นนายตัวเองและมีรายได้ระหว่างเรียนไปด้วยในตัว”
โดยนักศึกษาที่เรียนหลักสูตรการสร้างสรรค์ดิจิทัลคอนเทนต์และสื่อสามารถทำได้หลายอาชีพ นอกจากอาชีพคอนเทนต์ครีเอเตอร์ ไม่ว่าจะเป็นด้านสื่อสารมวลชนและด้านการผลิตสื่อและเทคโนโลยี อาทิ 1.อินฟลูเอนเซอร์ 2.ยูทูบเบอร์ 3.พอตคาสเตอร์ 4.บล็อกเกอร์ 5.พิธีกร 6.ผู้ประกาศ 7.นักข่าว 8.ช่างภาพวีดีโอ 9.กราฟิกตัดต่อ และ10.เจ้าของผู้ประกอบการ ฯลฯ
“2-3 วันตัดต่อ เฉลี่ยใช้เวลา 3-4 ชั่วโมง หลังเรียน ทำกราฟิก ทำเบื้องหลังเสร็จรับเงิน 3,000-5,000 บาท” นักศึกษาม.ธุรกิจบัณฑิตย์ คณะนิเทศศาสตร์ สาขาการสร้างสรรค์ดิจิทัลคอนเทนต์และสื่อ “เด่นชัย ปทุมไพโรจน์” ชี้แจงรายละเอียดในการเป็นฟรีแลนซ์ควบคู่ขณะเรียนตั้งแต่ชั้นปีที่1 เพื่อเป็นตัวอย่างให้น้องๆ เห็นภาพ
เด่นชัย นักศึกษา DPU บอกต่อว่า ผลจากการเรียนควบคู่กับปฏิบัติ สะสมทักษะและ วิญญาณผู้ประกอบการ ทำให้เขาแทบไม่ต้องขอเงินพ่อแม่อีกเลยเนื่องจากรายได้ของงานเสริมเดือนๆ ตกเฉลี่ยสูงถึง 15,000-20,000 บาท สามารถทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย ตามรูปแบบการทำงานวิถีใหม่สร้างรายได้ทุกที่ทุกเวลาแบบ “Digital Nomad”
“เรียนที่ DPU เรียนจริงได้ใช้งานจริง และเรียนทำเป็นหมดทุกอย่างแต่ขายของไม่เป็นก็จบ ที่นี่ก็สอนผมหมด จากตอนแรกที่ฝันอยากเป็นช่างภาพ รูปแบบที่เรียนมันไปทำให้เป็นหมดในตัวคนเดียวจากวิชาที่สอดคล้องกัน ตั้งแต่ตอนปี1 วิชาหาอัตลักษณ์ตัวตน ได้หาตัวเองเจอตั้งแต่แรก การถ่ายภาพนิ่งและวีดีโอ เทคนิคการตัดต่อได้ด้วย ตรงนี้เริ่มรับจ็อบงานเสริม ตัดต่อ กราฟิก ที่ทำอยู่ แล้วก็ทำช่องของตัวเองช่วงปี 2 เพราะเรียนทักษะการพูด ทีนี้ก็เป็นคอนเทนต์ครีเอเตอร์แนวดอกไม้ต่างๆ อีกด้วยตอนนี้”
ขณะที่ในช่วงปี 3-4 ในหลักสูตรดังกล่าวจะมีเรียนเทคนิคถ่ายทำผลิตสื่อ การเล่าเรื่องเขียนบท “วิชาโท” แบบให้เลือกเรียน ก็ได้เรียนวิชาผลิตสื่อเพื่อกลุ่มสูงวัย เรียนการทำนิทรรศการเทศกาลดนตรี เรียนจัดอีเว้นท์ครีเอทีพ การจัดการศิลปิน มีเรียนสร้างสรรค์ซาวด์ การ Data Analyst นอกจากนี้ยังมี “วิชาเฉพาะ” เปิดกว้างๆ ว่าสังคมช่วงนั้นอะไรน่าสนใจโดยจะเชิญอาจารย์พิเศษมาสอน และปิดท้ายด้วยการฝึกงานสถานประกอบการชั้นนำที่ร่วม MOU กับทางมหาวิทยาลัยอีกด้วย
ทั้งนี้ความพิเศษเพื่อเพิ่มศักยภาพนักศึกษาในทุกๆ ปี หลักสูตรเชื่อมโยงภาคทฤษฎีกับภาคปฏิบัติ โดยทำ MOU กับองค์กรสื่อหลายแห่งเพื่อมอบหมายโจทย์ให้นักศึกษาฝึกปฏิบัติในรายวิชา และผลงานนักศึกษาในห้องเรียนที่ผ่านเกณฑ์จะได้ออกอากาศหรือเผยแพร่จริงในองค์กรสื่อนั้น เป็นการเปิดโอกาสให้นักศึกษาแสดงฝีมือเพื่อเป็นโปร์ไฟล์ พัฒนาฝีมือนักศึกษาไปสู่อาชีพจริง ซึ่งปีที่ผ่านมาผลงานนักศึกษาได้ออนแอร์ในช่องบางพูนแคมปัสของเวิร์คพอยท์ และช่อง BBTV รวมทั้งได้ฝึกทำรายการและออกแบบโชว์คอนเสิร์ตออนไลน์ในโปรเจกต์ “Singha Corporation Teenage Fun มันส์ ยก คลาส” โดยมียอดคนดูไลฟ์เกือบ10,000 คน
TRANSMEDIA STORYTELLING “วรยุทธ์ขั้นสุด”
อาจารย์สุดถนอม แนะนำในเรื่องทักษะของนักคอนเทนต์ครีเอเตอร์ที่จำเป็น ควรมีทั้ง Hard Skills, Soft Skills และ Growth Mindset มุ่งเรียนรู้เพื่อเติบโตตลอดเวลา และหากเป็นไปได้ควรศึกษาทฤษฎีที่กำลังเป็นที่นิยมตอนนี้ คือ เรื่อง “Transmedia Storytelling” หรือการแตกแขนงเล่าเรื่องข้ามสื่อในยุคดิจิทัล เทคนิคที่จะนำมาซึ่งยอดการติดตามและแฟนคลับ
“Transmedia Storytelling อธิบายง่ายๆ คือ เทคนิคการเล่าเรื่องข้ามสื่อ ที่แบ่งเรื่องออกเป็นส่วนย่อยๆ และผลิตเรื่องราวส่วนย่อยๆ นั้นนำเสนอผ่านช่องทางสื่อที่แตกต่างกัน แตกต่างแต่เชื่อมโยง หรือแต่ละเรื่องอาจจบสมบูรณ์ในตัวหรือไม่ก็ได้ หรือขยายความลึก-กว้าง เลือกวิธีการเล่าเรื่องให้เหมาะกับธรรมชาติของสื่อและพฤติกรรมผู้รับสาร กลายเป็นจักรวาลของเรื่องนั้นๆ ให้คนเกิดอยากติดตาม แม้ว่าจะเคยเห็นเรื่องนั้นมาแล้วในสื่ออื่น” อาจารย์สุดถนอม กล่าวทิ้งท้ายการเล่าเรื่องดิจิทัลที่เหล่าคอนเทนต์ครีเอเตอร์นิยมใช้กันในปัจจุบัน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี