วิทยาลัยเฮลท์ แอนด์ เวลเนส DPU จัดปฐมนิเทศ ป.โท - ป.เอก สุดคึกคัก อาจารย์–ผู้ประกอบการ–มิสแกรนด์ไทยแลนด์ 2020 ร่วมจุดประกายวิจัยสมุนไพรไทยสู่สากล
วิทยาลัยเฮลท์ แอนด์ เวลเนส มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) จัดกิจกรรมปฐมนิเทศนักศึกษาใหม่ หลักสูตรวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต และปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ รวมทั้งหลักสูตรวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2568 ณ อาคาร 10 ชั้น 3 ห้อง 1036 มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ เพื่อสร้างความเข้าใจในแนวทางการเรียนการสอนให้กับนักศึกษาใหม่ และสร้างแรงบันดาลใจในการศึกษา การทำวิจัยเพื่อต่อยอดสู่การพัฒนานวัตกรรมในระดับสากล ทั้งนี้ได้รับเกียรติจาก รศ.ดร.ภก.สุรพจน์ วงศ์ใหญ่ คณบดีวิทยาลัยเฮลท์ แอนด์ เวลเนส และผู้เชี่ยวชาญสมุนไพรของสหประชาชาติ และคณาจารย์ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น ภายในงานยังจัดแสดง นิทรรศการนวัตกรรมสมุนไพรไทยสร้างเศรษฐกิจ ควบคู่กับกิจกรรมนวดเสริมความจำ หรือ Smart Brain Massage ซึ่งเป็นการบูรณาการองค์ความรู้ด้านสมุนไพรเข้ากับศาสตร์การดูแลสุขภาพ เปิดโอกาสให้นักศึกษาได้สัมผัสและเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างใกล้ชิด
สำหรับกิจกรรม ปฐมนิเทศนักศึกษาใหม่ ในครั้งนี้นอกจากนักศึกษาจะได้รับฟังข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับการเรียนการสอนแล้ว ยังได้ทำความรู้จักกับคณาจารย์ประจำหลักสูตรที่พร้อมจะเป็นที่ปรึกษาและสนับสนุนตลอดจนจบการศึกษา ที่น่าสนใจคือนักศึกษามีความหลากหลาย ทั้งอาจารย์มหาวิทยาลัย ผู้ประกอบการธุรกิจและอุตสาหกรรมสมุนไพรในกลุ่มยา อาหารเสริมและเครื่องสำอาง ผู้ประกอบการด้านการบริการสุขภาพเวลเนสและความงาม โดยมีมิสแกรนด์ไทยแลนด์ 2020 มาเรียนด้วย ซึ่งต่างมีเป้าหมายร่วมกันในการพัฒนาความรู้ด้านสมุนไพรและแพทย์แผนไทยให้ทันสมัยและต่อยอดได้จริงด้วยการวิจัย ภายในงานยังมีการบรรยายพิเศษในหัวข้อ “นวัตกรรมสมุนไพรและแพทย์แผนไทยสร้างเศรษฐกิจ” โดยคณบดีวิทยาลัยเฮลท์ แอนด์ เวลเนส ที่ถ่ายทอดทั้งองค์ความรู้และวิสัยทัศน์ที่เชื่อมโยงภูมิปัญญาแพทย์แผนไทยเข้ากับการพัฒนาเศรษฐกิจยุคใหม่ ทำให้นักศึกษาได้รับแรงบันดาลใจและมองเห็นภาพรวมของการเรียนอย่างแท้จริง
รศ.ดร.ภก.สุรพจน์ ได้กล่าวต้อนรับนักศึกษาใหม่ โดยเล่าประสบการณ์ที่เคยมีโอกาสเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (ในหลวงรัชกาลที่ 9) เมื่อปี 2541 ณ สวนจิตรลดา พร้อมคณะนักวิจัยที่นำโดยองค์การเภสัชกรรม เพื่อถวายรายงานผลงานวิจัยด้านสมุนไพรไทย โดยขณะนั้นทีมวิจัยสามารถพัฒนายาสมุนไพรที่ใช้ในการดูแลผู้ป่วย HIV ได้ และได้ยื่นจดและได้รับอนุมัติสิทธิบัตรจากประเทศสหรัฐอเมริกา จากผลการทดลองทางคลินิกแสดงให้เห็นว่ายาสมุนไพรดังกล่าวช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย แม้ไม่สามารถรักษาให้หายขาด แต่ทำให้ผู้ป่วยสุขภาพดีขึ้น ฟื้นตัวได้และคุณภาพชีวิตดีขึ้น ถือเป็นการพิสูจน์ว่าภูมิปัญญาแพทย์แผนไทยมีศักยภาพในการจัดการโรคเรื้อรังและโรคติดเชื้อโดยเฉพาะไวรัสมาช้านาน แต่ที่ผ่านมาประเทศไทยยังขาดการศึกษาวิจัยเชิงลึกและการพัฒนาต่อยอดอย่างเป็นระบบ
“ทั้งนี้ภูมิปัญญาไทยมีการบันทึกไว้ในตำรับยา เช่น “คัมภีร์ตักศิลา” ที่ระบุอาการไข้มากกว่า 60 ชนิด พร้อมตำรับยารักษาครบถ้วน สะท้อนว่าความรู้การแพทย์แผนไทยมีพื้นฐานในการรับมือเรื่องไข้และไข้ที่เกิดจากติดเชื้อไวรัสมาอันยาวนาน การวิจัยที่ทำในครั้งนั้นได้นำตำรับยาสมุนไพรจากภูมิปัญญามาพัฒนาเป็นยารูปแบบสมัยใหม่จากสารสกัดเข้มข้น ผ่านการควบคุมคุณภาพ ทดสอบก่อนคลินิก และการทดสอบทางคลินิก จนสามารถยืนยันผลได้จริงในผู้ป่วย HIV เมื่อผลงานได้รับสิทธิบัตรจากต่างประเทศ คณะผู้วิจัยได้กราบบังคมทูลถวายต่อในหลวงรัชกาลที่ 9 เพื่อให้เป็น “สมบัติส่วนรวมของแผ่นดิน” พร้อมน้อมรับพระราชวินิจฉัยว่าจะนำไปใช้ประโยชน์ในรูปแบบใดต่อไป จึงเป็นแนวทางสำคัญที่ชี้ให้เห็นว่า ภูมิปัญญาไทยสามารถต่อยอดและพัฒนาให้ได้รับการยอมรับในระดับสากลได้”คณบดีวิทยาลัยเฮลท์ แอนด์ เวลเนส กล่าว
สำหรับนักศึกษาที่เข้ามาเรียนในทุกหลักสูตรของวิทยาลัยไม่ว่าจะในระดับปริญญาตรี หรือบัณฑิตศึกษา คือการจุดประกายแนวคิดใหม่ ๆ เพื่อนำไปสู่การปฏิรูปการเรียนการสอนด้านการแพทย์แผนไทย วิทยาศาสตร์เครื่องสำอางที่สามารถบูรณาการองค์ความรู้ระหว่างภูมิปัญญาไทยและเทคโนโลยีขั้นสูงอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งยังเป็นโอกาสอันดีที่นักศึกษาได้เรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญระดับโลก ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างองค์ความรู้และแรงบันดาลใจ เพื่อต่อยอดสู่การพัฒนาในเชิงธุรกิจและเชิงวิชาการได้จริง จึงขออวยพรให้นักศึกษาทุกคนประสบความสำเร็จในการเรียน การทำวิทยานิพนธ์ และสามารถนำองค์ความรู้ไปใช้ได้จริง เพื่อยกระดับสมุนไพรไทยสู่มาตรฐานสากล
ส่วนในช่วงท้าย รศ.ดร.ภก.สุรพจน์ ได้เปิดมุมมองในหัวข้อ “นวัตกรรมสมุนไพรและแพทย์แผนไทยสร้างเศรษฐกิจ” ได้เน้นย้ำถึง ภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งศักยภาพในการรักษาโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) และการติดเชื้อไวรัส ซึ่งการแพทย์แผนปัจจุบันยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ในหลายโรค ทั้งนี้ได้ยกตัวอย่างประสบการณ์การวิจัยและพัฒนาตำรับยาสมุนไพรที่ประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะการฟื้นฟูสุขภาพ และ การชะลอวัย รวมถึงการมองเห็นโอกาสของตลาดผลิตภัณฑ์สมุนไพรในระดับโลก พร้อมเน้นถึงความสำคัญของการปฏิรูปการศึกษาทางการแพทย์แผนไทยใหม่ เพื่อให้ภูมิปัญญาไทยถูกนำมาพัฒนาต่อยอดนำไปใช้ได้จริงในระดับสากล
ด้าน นางหฤทัย เตชะวิชิรกุล นักศึกษาปริญญาโท สาขาวิชาการแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก วิทยาลัยเฮลท์ แอนด์ เวลเนส มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ เปิดเผยว่า ตนมีประสบการณ์ทำงานในสายแพทย์แผนไทยมากว่า 10 ปี และเป็นผู้ประกอบวิชาชีพที่มีใบประกอบโรคศิลปะประเภท ก. แต่จากการทำงานพบว่าระบบการแพทย์แผนไทยยังมีข้อจำกัด โดยเฉพาะการเชื่อมโยงองค์ความรู้ตำรับยาและสมุนไพรเข้าสู่ระบบสุขภาพและเศรษฐกิจ ทำให้ไม่สามารถต่อยอดในเชิงพาณิชย์หรือสร้างความเชื่อมั่นในวงกว้างได้ จึงเห็นความจำเป็นในการยกระดับแพทย์แผนไทยให้มีมิติใหม่ ทั้งด้านการวิจัย การพัฒนา และการประยุกต์ใช้ในระบบสาธารณสุข เพื่อลดการพึ่งพายานำเข้าและเสริมบทบาทสมุนไพรไทยให้เป็นฐานสำคัญของระบบสุขภาพประเทศ
สำหรับแรงบันดาลใจที่ทำให้เลือกศึกษาต่อที่ DPU มาจากการได้รับฟังวิสัยทัศน์ของ รศ.ดร.ภก.สุรพจน์ วงศ์ใหญ่ คณบดีวิทยาลัยเฮลท์ แอนด์ เวลเนส ที่ชี้ให้เห็นแนวทางการบูรณาการแพทย์แผนไทยด้วยหลักฐานเชิงวิชาการและการยกระดับภูมิปัญญาไทยสู่สากล จึงเชื่อว่าการเรียนรู้และทำวิจัยร่วมกับคณาจารย์ผู้เชี่ยวชาญจะช่วยผลักดันให้เป้าหมายดังกล่าวเกิดขึ้นจริง พร้อมตั้งใจศึกษาต่อในระดับปริญญาเอก เพื่อพัฒนางานวิจัยและสร้างความก้าวหน้าให้ระบบสุขภาพไทยอย่างยั่งยืนผ่านฐานของการแพทย์แผนไทยอีกด้วย
ขณะที่ นางสาวพัชรพร จันทรประดิษฐ์ มิสแกรนด์ไทยแลนด์ 2020 ในฐานะนักศึกษาปริญญาโท สาขาวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ วิทยาลัยเฮลท์ แอนด์ เวลเนส มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ เล่าถึงความรู้สึกในการเข้าร่วมปฐมนิเทศในวันแรกว่า การเรียนที่นี่ตอบโจทย์สิ่งที่ค้นหามานาน หลายเรื่องที่ค้างคาใจเกี่ยวกับสมุนไพรและสุขภาพ ได้รับคำอธิบายอย่างเป็นระบบจากอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญ ทำให้มั่นใจว่าการเรียนต่อครั้งนี้จะเป็นสิ่งที่สำคัญในการต่อยอดธุรกิจสกินแคร์ของตนเอง และสร้างโอกาสใหม่ ๆ ในการพัฒนาอุตสาหกรรมสมุนไพรไทยในอนาคต
นางสาวพัชรพร กล่าวว่า ตนเป็นผู้ประกอบการออนไลน์ ทำธุรกิจด้านสกินแคร์ ตั้งแต่ปี 2020 จนถึงปัจจุบันเข้าสู่ปีที่ 5 และพบว่าพฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก จากเดิมที่การรีวิวแบบ Before–After อาจเพียงพอ แต่ปัจจุบันผู้บริโภคต้องการข้อมูลเชิงลึก ต้องการรู้ว่าสกินแคร์มีสารสกัดอะไร ทำงานในระดับไหน และช่วยแก้ปัญหาอย่างไร สิ่งนี้ทำให้มองเห็นความจำเป็นที่จะต้องเพิ่มความรู้เชิงลึก และนำไปใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของตนเองให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคได้มีประสิทธิภาพและตรงจุดยิ่งขึ้น
“จากประสบการณ์ทำธุรกิจสกินแคร์ มองว่าสมุนไพรไทยหลายชนิดถูกนำมาใช้เป็นสารสกัดหลักในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางทั่วโลก และสามารถแก้ปัญหาด้านผิวพรรณได้ จึงเชื่อมั่นในคุณค่าของสมุนไพรไทยที่นอกจากหาได้ง่ายแล้ว ยังเป็นการสนับสนุนเกษตรกรไทย และที่สำคัญคือมีศักยภาพที่จะพัฒนาต่อยอดเชิงวิชาการและการวิจัยได้จริง”นักศึกษาปริญญาโท สาขาวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี