วันศุกร์ ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2568
ปีใหม่ 2569 สสส. ผนึกกำลัง เครือข่ายพัฒนาคุณภาพชีวิต เดินหน้า “ดื่มไม่ขับ…กลับบ้านปลอดภัย” ปี 67 ตายบนถนนกว่า 1.7 หมื่นราย หนุนชุมชนตั้งด่านหวังดี-ด่านปากหวาน พบอุบัติเหตุเกิดใกล้บ้าน 5-10 กม. ดึงร้านค้าสถานบริการร่วมสกัดคนเมา ลดสูญเสียช่วงเทศกาลปีใหม่
วันที่ 25 ธ.ค.2568 ที่ลานหน้าหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ เครือข่ายพัฒนาคุณภาพชีวิต มูลนิธิเด็ก เยาวชน และครอบครัว จัดกิจกรรมรณรงค์เนื่องในเทศกาลปีใหม่ 2569 “ปีใหม่ ดื่มไม่ขับ...กลับบ้านปลอดภัย 2569” นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย อดีตรองประธานวุฒิสภา คนที่หนึ่ง กล่าวว่า ข้อมูลด้านความปลอดภัยทางถนนของประเทศไทยจากระบบบูรณาการข้อมูลการตายจากอุบัติเหตุทางถนน (ข้อมูล 3 ฐาน) พบว่า ปี 2567 ไทยมีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน มากถึง 17,477 คน เฉลี่ยวันละ 48 คน โดยเฉพาะช่วงเทศกาลปีใหม่ที่เป็นเทศกาลแห่งความสุข แต่พบว่าเป็นช่วงการเกิดอุบัติเหตุทางถนนสูง มีสาเหตุจากการดื่มแอลกอฮอล์แล้วขับขี่ยานพาหนะ ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมากในแต่ละปี สะท้อนถึงความสูญเสียของครอบครัวและสังคมอย่างประเมินค่าไม่ได้ ซึ่งอุบัติเหตุจาก “ดื่มแล้วขับ หรือเมาแล้วขับ” เป็นเรื่องที่สามารถป้องกันได้ ด้วยความร่วมมือของทุกภาคส่วน
“การรณรงค์ ‘ดื่มไม่ขับ’ ต้องเริ่มจากความรับผิดชอบของแต่ละบุคคล รวมถึงบทบาทของครอบครัว และชุมชน หลีกเลี่ยงการขับขี่ยานพาหนะหลังดื่มแอลกอฮอล์ หากมีการดื่มควรใช้รถสาธารณะ ให้เพื่อนที่ไม่ดื่มเป็นผู้ขับ พร้อมขอความร่วมมือไปยังคนใกล้ชิดไม่สนับสนุนให้ผู้ที่ดื่มแล้วไปขับรถ เพราะการเตือนหรือห้ามปรามเพียงครั้งเดียว อาจช่วยรักษาชีวิตได้ นอกจากนี้ขอเน้นย้ำถึงความสำคัญของการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดและต่อเนื่อง รวมถึงขอความร่วมมือผู้ประกอบการร้านค้า ร้านอาหาร และสถานบริการ แสดงความรับผิดชอบต่อสังคม งดจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้กับผู้ที่มีอาการมึนเมา การปฏิเสธการขายหนึ่งครั้งก็จะช่วยอีกหลายชีวิตที่ใช้รถใช้ถนน เพื่อร่วมกันลดความสูญเสียและสร้างความปลอดภัยบนท้องถนนในช่วงเทศกาลปีใหม่และตลอดทั้งปี” นายสุรชัย กล่าว
นางก่องกาญจน์ ทักษ์หิรัญฤทธิ์ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงทางสังคม สสส. กล่าวว่า ช่วงเทศกาลปีใหม่ซึ่งมีวันหยุดยาวต่อเนื่อง เป็นช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองและการเดินทาง แต่ขณะเดียวกันก็มีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุทางถนนสูง โดยเฉพาะจากการดื่มแล้วขับ สสส. ร่วมกับภาคีเครือข่าย ได้ร่วมกันรณรงค์ภายใต้แนวคิด “ดื่มแล้วขับ ไม่ได้ดับแค่คุณคนเดียว” เพื่อสะท้อนผลกระทบที่ไม่ได้เกิดกับผู้ขับขี่เพียงคนเดียว แต่ส่งผลต่อครอบครัวและคนรอบข้าง พร้อมเชิญชวนประชาชนเลือก “ดื่มไม่ขับ” เพราะการกลับบ้านอย่างปลอดภัยคือของขวัญที่มีค่าที่สุด นอกจากนี้ สสส. ได้สนับสนุนการตั้ง “ด่านหวังดี” และ “ด่านชุมชนปากหวาน” ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เพื่อดูแลกันด้วยความห่วงใยเพราะผู้เสียชีวิตจำนวนมากมักเกิดเหตุในระยะใกล้บ้าน ในรัศมีประมาณ 5-10 กิโลเมตร
“สสส. เฝ้าระวังในหลายพื้นที่ร่วมกับมูลนิธิเมาไม่ขับและเครือข่ายเหยื่อเมาแล้วขับกว่า 100 เครือข่ายทั่วประเทศ โดยตั้งด่านร่วมกับหน่วยงานรัฐ และเชิญชวนประชาชนร่วมกิจกรรม ‘สวดมนต์ข้ามปีที่วัดใกล้บ้าน’ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระพันปี พร้อมเชิญชวนสถานประกอบการทุกประเภทช่วยสกัดผู้ดื่มแล้วขับไม่ให้ลงถนน ซึ่งเป็นด่านสำคัญในการลดอุบัติเหตุทางถนนจากแอลกอฮอล์ที่กระทบต่อการตัดสินใจและการขับขี่ มุ่งสร้างความรับผิดชอบต่อสังคมและบรรทัดฐานใหม่ ‘ดื่มไม่ขับ’ เพื่อให้ทุกคนได้กลับบ้านอย่างปลอดภัย” นางก่องกาญจน์ กล่าว
นพ.ธนะพงศ์ จินวงษ์ ผู้จัดการศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.) กล่าวว่า ช่วงเทศกาลปีใหม่มีคนไทยอย่างน้อย 5,000 รายออกมาสังสรรค์ฉลองแล้ว “กลับไม่ถึงบ้าน” โดยข้อมูลช่วงปีใหม่ 2568 พบผู้เสียชีวิตจากดื่ม-เมาขับ 53 ราย บาดเจ็บสาหัสเข้ารักษา 4,892 ราย ในจำนวนนี้ 422 รายอายุน้อยกว่า 20 ปี ทั้งที่กฎหมายห้ามขายแอลกอฮอล์ให้ผู้ต่ำกว่า 20 ปี และหากต่ำกว่า 18 ปี การขายหรือจัดให้ดื่มอาจผิดตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก แบบแผนความเสี่ยงสำคัญของการดื่ม-เมาขับ จะพบในช่วงฉลองวันที่ 30 ธ.ค.-1 ม.ค. และพบว่า ประชาชนวางแผนเดินทางออกจาก กทม. หรือกลับ ตจว. เร็วขึ้น เช่น ช่วงคริสต์มาส ทำให้เริ่มฉลองเร็วขึ้นด้วย โดยความเสี่ยงสูงสุดอยู่ที่คืน 31 ธ.ค. และหากผ่อนปรนให้ขายเหล้าได้ตลอดคืนจะยิ่งเพิ่มความเสี่ยง นอกจากนี้สถิติปีใหม่ 2566-2568 พบผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นจาก 5 ราย เป็น 9 ราย และ 11 ราย ตามลำดับ สะท้อนว่าปัญหาเมาแล้วขับยังต้องจัดการอย่างจริงจัง โดยเฉพาะคืนส่งท้ายปีและช่วงวันเดินทางหนาแน่น
“เหตุรุนแรงหรือเสียชีวิตช่วงฉลองเทศกาลปีใหม่ พบว่ากว่า 50% มักเกิดใกล้บ้าน ระยะไม่เกิน 5-10 กม.โดยเฉพาะถนนสายรองมากถึง317ราย (55%) และส่วนใหญ่เป็นรถจักรยานยนต์ 87% ขณะที่เกือบทั้งหมดไม่สวมหมวกนิรภัย จึงควรเพิ่มมาตรการเข้ม ระดับชุมชน-หมู่บ้าน เช่น กำหนดให้เจ้าของงานคุมเข้มไม่ขายเหล้าให้เด็กและไม่ปล่อยคนเมาไปขับ เพิ่มการกวดขันป้องปรามในพื้นที่ เช่น ปักหมุดวงสุรา รวมถึงจำกัดการใช้ตำแหน่งของผู้นำท้องถิ่นในการช่วยประกันตัวผู้ถูกจับ ระยะยาวนอกจากเข้มด่านตรวจเมาขับแล้ว ต้องทำงานตั้งแต่ต้นน้ำใกล้บ้าน ทั้งสื่อสารรณรงค์และมาตรการในร้านเหล้า/ผับบาร์ เช่น คัดกรองคนเมาและมีเครื่องเป่าตรวจประจำร้าน เพื่อช่วยลดเมาแล้วขับอย่างยั่งยืน” นพ.ธนะพงศ์ กล่าว
นางสาวประภาวี เหมทัศน์ อดีตกรรมาธิการวิสามัญพิจารณา พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ฉบับที่ 2 และผู้ประกอบการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กล่าวว่า พ.ร.บ.ฉบับนี้เกิดจากการหารือของหลายฝ่าย แม้ผู้ประกอบการบางส่วนไม่เห็นด้วยเพราะเพิ่มความเข้มงวดและโทษปรับ แต่ก็มีประเด็นที่ผ่อนปรนมากขึ้น โดยหัวใจสำคัญคือการทำงานร่วมกันและรับฟังกันระหว่างรัฐกับภาคีรณรงค์ เพื่อลดผลกระทบจากการดื่มและการขายที่ไม่รับผิดชอบ และทำให้การควบคุมแอลกอฮอล์สมดุลขึ้น โดยผู้ประกอบการให้ความสำคัญกับการป้องกันดื่มแล้วขับ โดยร่วมกับ U Drink I Drive ตั้งบูธช่วยลูกค้ากลับบ้าน มีบริการเรียกรถ Grab/LINE รับฝากรถฟรี ติดกล้องวงจรปิด และเทรนพนักงานให้ประเมินอาการก่อนกลับ พร้อมเสนอทางเลือกที่ปลอดภัย นอกจากนี้ พ.ร.บ.ใหม่ มาตรา 29 เปิดทางให้ผู้ประกอบการตรวจบัตรและปฏิเสธการขาย/เสิร์ฟผู้มึนเมาได้ เพื่อช่วยสร้างวัฒนธรรมการดื่มที่ดี ลดอุบัติเหตุ และย้ำให้ผู้ดื่มดื่มอย่างพอดี มีสติ ไม่เดือดร้อนผู้อื่นและไม่ทำร้ายสุขภาพตัวเอง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี