ลูกนักการเมืองดัง “กร่าง” ซ้อมคู่อริ.....จับลูกตำรวจยิงนักฟุตบอล ม.รังสิต.....ฯลฯ
ข้างต้นเป็นบางตัวอย่างของพาดหัวข่าวที่ผู้คนในสังคมคงเห็นบ่อยครั้ง ซึ่งไม่ว่าจะผ่านมากี่ยุคกี่สมัย ปัญหา “ตี รัน ฟัน แทง ฆ่า” บางคดีมักจะมีบุตรหลาน หรือเครือญาตินายตำรวจ ทหาร หรือนักการเมือง เข้าไปพัวพัน ล่าสุดมีการจับกุมลูกนายตำรวจที่เกี่ยวพันกับเหตุยิงนักฟุตบอลมหาวิทยาลัยรังสิต เสียชีวิตใน จ.ปทุมธานี จนนำมาซึ่งคำถามว่าเหตุไฉนคนเหล่านี้จึง “กร่าง” กันเสียจริง
ที่มาของความ “กร่าง”
“ถ้าอาการแบบนี้เกิดในประเทศที่ไม่มีการแบ่งชนชั้นถือเป็นอาการทางจิต แต่ในสังคมไทยถือเป็นความผิดปกติทางสังคม” วัลลภ ปิยะมโนธรรม ที่ปรึกษาโครงการศูนย์ให้คำปรึกษาและพัฒนาศักยภาพมนุษย์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ กล่าวถึงอาการ “กร่าง” ของคนใหญ่คนโตในเมืองไทย
เขาอธิบายต่อว่า วัฒนธรรมไทยเป็นลักษณะการแบ่ง “ชนชั้นวรรณะ” ตั้งแต่อดีตที่ “ชนชั้นสูง” มียศศักดิ์ตำแหน่ง มักกดขี่ชนชั้นต่ำกว่า บ้านเรา “ปรามาส” กันว่าคนชั้นสูงมักอยู่ในกรุง คนชั้นต่ำมักจะอยู่ตามชนบท เป็นที่มาของคำว่า “บ้านนอก” แล้วก็อวดอ้าง “ศักดินา” นำมาซึ่งความกดดัน ทำให้ชนชั้นต่ำกว่าพยายามยกตัวเองให้สูงขึ้น พยายามใฝ่หาอาชีพที่สังคมยอมรับ เช่น แพทย์ อาจารย์ และนักการเมือง เป็นต้น คราวนี้พอกระทบกระทั่งกันก็ไม่มีใครกลัวใคร มีการอวดชนชั้น “ข่ม” กัน จนเกิดคำถาม “ฮิต” ว่า “รู้ป่าวพ่อฉันดัง หรือใหญ่แค่ไหน”
“คนชนชั้นต่ำกว่าก็พยายามดิ้นรนเพื่อให้ได้เป็นหมอ เป็นนักการเมือง เพราะมองว่าตำแหน่งเหล่านี้มันมีอำนาจที่จะให้คุณให้โทษกับผู้อื่นได้ พอมาถึงช่วงของบุตรหลานเมื่อมีเรื่องกระทบกระทั่งกันขึ้นก็เกิดการอวดศักดาใส่กัน กลายเป็นอวดอำนาจกันเต็มเมือง” วัลลภ กล่าว
อย่าเป็น “แม่ปู สอนลูกปู”
ขณะที่ “สรรพสิทธิ์ คุมพ์ประพันธ์” เลขานุการมูลนิธิศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็ก เคยกล่าวว่า นักการเมืองตั้งแต่ระดับท้องถิ่นถึงระดับชาติปัจจุบันเลี้ยงลูกให้มีพฤติกรรมรุนแรง โดยเฉพาะการ “ล่วงละเมิดทางเพศ” เพราะ “ย่ามใจ” ว่ามีอิทธิพลจะไม่ถูกลงโทษ เด็กกลุ่มนี้ไม่ได้ถูกเลี้ยงให้รู้จัก “ยับยั้งชั่งใจ” แต่ถูกสอนให้ “เอาเปรียบ” ข่มเหงผู้อื่น โดยพ่อแม่คอยให้ท้าย รวมทั้งมีการสร้างบรรทัดฐานใหม่ว่าเมื่อเป็นนักเมืองแม้มีคดีติดตัวก็หลบเลี่ยงกฎหมายได้ พฤติกรรมเหล่านี้ก็ตกทอดมาถึงเด็ก
ด้าน “วัลลภ” ชี้แนะทางสว่างเพื่อลดปัญหา “วางอำนาจ บาตรใหญ่” ว่า ทฤษฎีง่ายๆแต่อาจทำยาก คือ “สอนให้จำ ทำให้ดูเป็นแบบ” การเรียนรู้ที่ง่ายและดีที่สุด คือ เรียนรู้จาก “ต้นแบบ” ซึ่งทุกวันนี้บุพการีพยายามพร่ำสอนบุตรหลานว่า “อย่าไปอวดเบ่งใส่ใคร” แต่ตัวเองกลับทำให้เห็น เช่น ใช้เส้นสายฝากบุตรหลานเข้าโรงเรียนดัง หรือพ่อแม่เป็นหัวหน้า เป็นนักการเมืองไปอวดเบ่งสั่งลูกน้องหรือทำโทษคนอื่น คราวนี้เด็กก็จำไปใช้ กลายเป็น “แม่ปู สอนลูกปู”
“เมื่อพ่อแม่ทำให้ดูในสิ่งไม่ดี คราวนี้สอนอย่างไรก็ไร้ประโยชน์ ในทางจิตวิทยาบอกว่าภาษากายเป็นแบบอย่างให้จดจำ แต่พฤติกรรมการทำ ช่วยให้จำแม่นกว่าการพูดหรือการสอน ดังนั้นสอนอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าพ่อแม่ไม่ทำสิ่งดีๆให้เห็น” วัลลภ กล่าว
“ล้างคุก”รอ -ใหญ่แค่ไหนก็จับ
เมื่อเกิดคดีอาชญากรรมที่มีคนดังพัวพัน “ตำรวจ” มักตกเป็น “จำเลยร่วม” บ่อยครั้งที่ถูก “วิพากษ์” ว่าช่วยเหลือคนเหล่านี้ให้ “หลุดคดี” แต่มีคำยืนยันจากตำรวจว่า “ทำงานเต็มที่” ไม่สนว่าเป็นใคร.....
“พ.ต.อ.อัคราเดช พิมลศรี” รักษาราชการแทนผู้บังคับการกองบังคับการปราบปราม(รรท.ผบก.ป.) ในฐานะผู้รักษากฎหมาย ยืนยันว่า เมื่อบุคคลมีชื่อเสียง ลูกนักการเมือง หรือคนมีสี ก่อคดีอุกฉกรรจ์ ตำรวจทุกหน่วยงานโดยเฉพาะ “กองปราบปราม” มีแนวทางสืบสวนติดตามจับกุมตัวมาดำเนินคดีเฉกเช่นคดีอาญาทั่วไป เราไม่ได้สนใจว่าผู้ต้องหาจะเป็นใคร หรือเป็นผู้มีชื่อเสียงในสังคม ในทางกลับกันเมื่อผู้มีชื่อเสียง หรือลูกนักการเมืองเป็นเหยื่อ ตำรวจก็ทำคดีเหมือนคดีของบุคคลทั่วไป ไม่ได้เร่งรัดเป็น “กรณีพิเศษ”
“กองปราบปรามให้ความสำคัญกับทุกคดี โดยเฉพาะเหตุอุกฉกรรจ์ที่ท้าทายกฎหมายบ้านเมือง มีพฤติการณ์เป็นผู้มีอิทธิพล ซึ่งผมลั่นวาจาไว้แล้วว่ากองปราบปรามในยุคนี้ หากมีเสียงปืนดังขึ้นที่ไหน เราจะไปที่นั่น จะติดตามจับกุมผู้กระทำความผิดทุกกรณี และเตรียมห้องขังรอไว้แล้ว” พ.ต.อ.อัคราเดช กล่าว
“นามสกุล”ไม่ได้มีไว้เบ่ง
ขณะที่ “ลูกท็อป” วราวุธ ศิลปอาชา บุตรชายอดีตนายกรัฐมนตรีคนดังอย่าง “มังกรเติ้ง” บรรหาร ศิลปอาชา มองเรื่องนี้ว่า ปัญหาความ “กร่าง” ของเหล่าบุตรหลานนักการเมือง คนมีสี ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาตกอยู่ในสถานการณ์แบบไหน บางครั้งเรื่องราวกระทบกระทั่งที่เกิดขึ้น และปรากฏเป็นข่าวมี “เหตุจำเป็น” ทำให้เกิด และบางกรณีพวกเขาเหล่านี้อาจไม่ได้เกี่ยวข้องจริงๆ แต่ไปอยู่ในที่เกิดเหตุก็ถูก “เหมารวม”
“ลูกท็อป” ย้อนอดีตให้ฟังว่า อย่างตนเมื่อก่อนอยู่เฉยๆก็โดน “อ้างชื่อ” ว่าชอบไป “ขับรถซิ่ง” ตอนตี 2 ตี 3 ทั้งๆที่โดยนิสัย 5 ทุ่ม ตนก็นอนแล้ว หรือเมื่อ 20 ปีก่อน สมัยเป็นลูกนายกรัฐมนตรี ก็มีข่าวว่าตนไปต่อยกับใครไม่รู้ในผับ ทั้งๆที่ไม่ได้ไป
“บางครั้งเรื่องพวกนี้ก็ต้องให้ความเป็นธรรมว่า 1.คนเหล่านี้เข้าไปเกี่ยวข้องจริงหรือไม่ และ 2.ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ต้องมองว่าบางทีไม่ได้เกิดเรื่องจากเจ้าตัวเอง แต่ไปเที่ยวแล้วพวกเยอะ ลูกน้องจอมยุทั้งหลายยุบ้าง เอาเลยนาย!!! เรื่องมันก็ไปกันใหญ่ กลายเป็นเกิดจากคนรอบข้าง” ลูกท็อป กล่าว
“ลูกท็อป” ฝากเตือนบุตรหลานผู้มีอำนาจที่กำลัง หรือคิดจะ “กร่าง” ว่า ก่อนทำอะไรต้องคำนึงถึงพ่อแม่ เพราะเวลาเราไปไหนผู้คนไม่ได้มองว่าเราเป็นใคร แต่เขามองว่าเราเป็นลูกใคร หมายความว่าเขามองไปถึงพ่อแม่ อย่างตนเวลาไปไหนจะนึกเสมอว่ามีหน้า “นายบรรหาร และแม่แจ่มใส” ปรากฏหราอยู่ด้วย
“พ่อผมเคยบอกว่าเรามีอำนาจ มีตำแหน่งเอาไว้ช่วยคน ไม่ได้เอาไว้แกล้ง แต่เอาไว้เตือนว่าเรากำลังแบกชื่อเสียง ความดีที่พ่อแม่ทำไว้อยู่กับตัว เพราะบางทีเราทำดี เขาไม่ได้ชมเรา แต่ชมพ่อแม่ว่าเลี้ยงลูกมาดี แต่ถ้าทำไม่ดีเขาก็ด่าพ่อแม่ว่าเลี้ยงลูกอย่างไร” ลูกท็อป กล่าว พร้อมกับทิ้งท้ายว่า.....
ที่สำคัญ.....“นามสกุล” ไม่ได้มีไว้เบ่ง!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี