คู่ปะทะยุครอยต่อมิลเลเนียม “เวนเกอร์” ปะทะ “เฟอร์กี้”

คู่ปะทะในฟุตบอลอังกฤษ หากไม่ใช่เกมในเมืองเดียวกันที่เรียกว่า “ดาร์บี้แมทช์”

คู่ปะทะระหว่างเมืองที่ถูกยกให้เป็นคู่มหากาฬหั่นนรกอีกหนึ่งคู่ก็คือ “ปืนใหญ่” อาร์เซนอล กับ “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

นี่ก็โหดไม่แพ้คู่ไหนๆ ในเมืองผู้ดี

บางช่วงบางทีบางลีลา มีคนบอกว่า น่าจะดีกว่าคู่ปะทะแห่งการขุดคลองอย่าง “ปีศาจแดง” แมนฯยูไนเต็ด กับ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ด้วยซ้ำไป!

อันที่จริงคู่นี้ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรมาก ก่อนจะเข้าสู่ปลายยุคทศวรรษที่ 90 ถือว่าเป็นยุคแห่งการฟาดฟันของคู่นี้อย่างแท้จริง

ย้อนกลับไปในตำนานของ “ปืน-ผี” ที่ถูกพูดถึงมากที่สุดก็คือ อาร์เซนอล เป็นทีมสุดท้ายที่ได้ต่อกรกับ “บัสบี้ เบ๊บส์” ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์โศกนาฏกรรมเครื่องบินตกที่มิวนิค เพียงแค่ 5 วันเท่านั้น

ดวลเดือดเพื่อลุ้นล่าถ้วยรางวัลเอฟเอ คัพ คืนวันจันทร์นี้

จากนั้นทั้งคู่ก็มาเป็นที่จับตามองใน “ด้านลบ” เมื่อปะทะกันอย่างรุนแรงในโอลด์ แทรฟฟอร์ด เมื่อซีซั่น 1989-90 จนเป็นที่มาของการเป็นคู่ปะทะโดยตรง เพราะหนนั้นเดือดร้อนกันถึงขั้นต้องตัดคะแนน

กระทั่ง อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กุนซือแมนฯยูไนเต็ด ได้คู่ปะทะโดยตรงที่เข้มข้นที่สุดในชีวิตของเขา เมื่อ อาร์แซน เวนเกอร์ ที่เป็นใครก็ไม่รู้เพียงแค่เคยคุมโมนาโก และนาโงย่า เข้ามาคุมทัพ อาร์เซนอล เมื่อปี 1996

ความเร้าใจความเป็นตำนานของคู่นี้จึงเกิดขึ้นทันที

นับตั้งแต่การปะทะกันหนแรกระหว่าง เวนเกอร์ กับ เฟอร์กี้ ซึ่งมีการอัดหนักในสนามระหว่าง เอียน ไรท์ กับ ปีเตอร์ ชไมเคิล และหากทุกคนจำกันได้ เฟอร์กี้ ออกมาด่า เวนเกอร์ เละเทะหลังเกมว่า ไม่รู้เรื่องฟุตบอลอังกฤษ รู้แต่เรื่องฟุตบอลญี่ปุ่น

ดังนั้นก็จง “หุบปาก” ไปซะ!!!!

ทีนี้ก็ซัดกันนัวตั้งแต่ครั้งโน้นมานานเป็นสิบปี เมื่อไหร่ก็ตามที่ อาร์เซนอล ลงสนาม พวกเขาจะมีปัญหากับ แมนฯยูไนเต็ด อยู่เสมอ

ปะทะกันจนโดนหักแต้มเมื่อปี 1989-90

เรื่องการขว้างพิซซ่า เรื่องการที่ เซอร์เฟอร์กี้ ฟิวส์ขาดเตะรองเท้าใส่หน้า เดวิด เบ๊คแฮม จนคิ้วแตก เกิดขึ้นในยุคนี้ทั้งหมด อาจจะบอกได้ว่ากลายเป็น “ประเพณี” ที่จะต้องมีเรื่องและสาดน้ำลายใส่กันของ เวนเกอร์ กับ เฟอร์กี้

คือไม่ใครก็ใครต้องเปิดฉากไขว้ก่อนตลอด

เวลาช่วงนั้นถือเป็นช่วงแห่งความมันส์ของแฟนผีและแฟนปืน แต่ความจริงก็คือ มันเป็นความปวดร้าวของแฟนบอลทีมอื่นโดยแท้

เพราะโอกาสจะกระชากความสำเร็จจากอ้อมอกสองทีมนี้มีน้อยมากๆ

กระทั่งความเบาบางของ อาร์เซนอล เริ่มลดลง เนื่องจากการร้างราความสำเร็จ และหมดยุคทองของ “อินวินซ์เอเบิ้ล” นับตั้งแต่ปีที่ได้เข้าชิงบอลยุโรป คู่นี้เริ่มไม่สนุก เพราะ เวนเกอร์ ยิ่งทำทีมยิ่งห่างจาก เฟอร์กี้ ไปเรื่อยๆ

เฟอร์กี้ รีไทร์ พร้อมกับ ปืนที่ 8 ปีไร้แชมป์ คู่ปะทะเดือดกลายเป็นคู่ธรรมดา ยิ่ง เฟอร์กี้ ไม่อยู่ในตำแหน่งไปแล้ว เวนเกอร์ 
ก็ยิ่งไม่มีใครมาปะทะคารมด้วย

เจอกันปีนี้ในพรีเมียร์ลีก ก็เกือบจะสาวกันแล้ว

มาในปีนี้ ความเป็นสองมหาอำนาจของทั้งสองทีม เริ่มที่จะชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เมื่อโอกาสลุ้นแชมป์ลีกนั้นแทบไม่มี ความหวังสูงสุดในตอนนี้นอกจากการคว้าโควตาไปเล่นแชมเปี้ยนส์ลีกให้ได้

ก็คือการครองแชมป์เอฟเอ คัพ

แมนฯยูไนเต็ด ตกต่ำอย่างมาก เมื่อ เดวิด มอยส์ ทำทีมไม่ได้ไปบอลยุโรปแม้แต่รายการเดียว ทำให้ หลุยส์ ฟาน ฮาล เข้ามาทำงาน และแพ้ให้ทีมจากลีกวัน ตกรอบลีกคัพ เหลือเพียงความหวังในรายการนี้ เพราะในลีก
เป้าหมายคือท็อปโฟร์

พร้อมกับสไตล์การเล่นที่แม้กระทั่งแฟนผีเองยังส่ายหัว ว่านี่คือ “ugly football”

ไม่มีความมุ่งมั่น ไม่มีความแน่นอน ขาดความสวยงามในการเล่น ดูเหมือนกับการลงทุนไปเกือบหมื่นล้านปีนี้กำลังจะสูญเปล่า

ยิ่งถ้าตกรอบรายการนี้ ฟาน ฮาล จะดูไม่สง่างามหนักเข้าไปอีก

ขณะที่ เวนเกอร์ ไม่เคยมียุคไหนที่เขาจะถูกขับไล่โดยแฟนบอลได้มากขนาดนี้อีกแล้ว มีแบนเนอร์ขับไล่บ่อยกว่าปีก่อน

ถึงจะเป็นถ้อยคำที่สุภาพ แต่แน่นอนมันยากต่อการจะรับได้

การแพ้ โมนาโก 1-3 ในแชมเปี้ยนส์ลีกคาบ้านตัวเอง ทำให้สถานการณ์การเข้ารอบถ้วยใหญ่ ยากมากๆ และสุ่มเสี่ยงต่อการตกรอบนี้ 5 ปีซ้อน ทำให้แน่นอนว่า สมาธิของ อาร์เซนอล จะต้องมาอยู่ที่เอฟเอ คัพ

ถือว่าเป็นการพิสูจน์ตัวเองในฐานะแชมป์เก่าเป็นอย่างดีในการมาเยือนโอลด์ แทรฟฟอร์ด ชั่วโมงนี้

ในช่วงที่ไม่มีใครดีกว่ากัน

ยูไนเต็ด ไม่ได้น่ากลัวในการเล่น แต่ว่ามีลูกเด็ดขาด และโกล์เหนียวหนึบ ส่วน อาร์เซนอล หากเล่นลงล็อก ก็ไม่มีใครหยุดพวกเขาได้เหมือนกัน

ถือว่า สมค่าที่ได้เจอกันของสองขาใหญ่ แม้ปัจจุบันอาจจะดูเหมือนมันไม่ใช่

แต่ก็ยังพลาดไม่ได้เหมือนกัน!

บี แหลมสิงห์