“...หลังกลับมาจากประเทศอังกฤษ ผมได้มีโอกาสเห็นสิ่งที่ในหลวงท่านทำแล้ว ก็รักและบูชาในหลวงมาก และภาวนาว่าสักวันหนึ่ง สักครั้งในชีวิต ขอมีโอกาสได้รับใช้ในหลวงบ้าง...”

คำกล่าวของ “สินธุ พูนศิริวงศ์” นายกสมาคมกีฬาบิลเลียดแห่งประเทศไทย อีกหนึ่ง“ลูกของพ่อ” ที่ได้มีโอกาสถวายงานรับใช้ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชในฐานะของ “วิศวกร”

“สินธุ” เล่าว่า สมัยที่ตนยังเป็นเด็กอยู่นั้น มีโอกาสได้ซึมซับความ “ภักดี” ที่มีต่อในหลวง รัชกาลที่ 9 จากคุณแม่ที่จะเล่าให้ฟังถึงพระราชกรณียกิจ และทุกครั้งเมื่อทราบว่าพระองค์ท่านจะเสด็จฯที่ใด คุณแม่จะไปนั่งรอที่ริมทางเท้าเพื่อเฝ้าฯ รับเสด็จทุกครั้งที่มีโอกาส แม้ต่อมาตนจะไปศึกษาต่อและใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศอังกฤษนานกว่า 14 ปี แต่ “สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ” ของพระองค์ท่าน ไม่เคยจืดจางหรือเลือนรางลงไปเลยแม้แต่น้อย พร้อมกับตั้งปณิธานไว้ว่า “ขอสักครั้งในชีวิต” ที่จะได้มีโอกาสได้ “ออกแบบ” งานต่างๆ ให้พระองค์ท่าน

แล้วโอกาสก็มาถึง....

อดีตวิศวกร ประจำกรมโยธาธิการ ย้อนความหลังให้ฟังว่า ช่วงที่ทำงานในกรมโยธาธิการ มีโอกาสได้ทำงานร่วมกับ “คุณสนิท ฉิมโฉม” อดีตนายช่างใหญ่ประจำกรมซึ่งต่อมาได้ชักชวนให้ตนไปร่วมออกแบบ “วัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร” จ.ชลบุรี โดย สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เมื่อครั้งเป็นสมเด็จพระราชาคณะที่ “สมเด็จพระญาณสังวร” ได้เรียกคุณสนิทเข้าไปหา และแจ้งว่าต้องการให้ช่วยสร้างวัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร ซึ่ง คุณสนิท ได้ชักชวนให้ตนเข้ามาร่วมทำงานนี้ในฐานะ “วิศวกรโครงสร้าง” จนสำเร็จ

“ต่อมาเท่าที่ทราบในหลวง รัชกาลที่ 9 ได้เสด็จไปนั่งสมาธิที่ศาลาใหญ่ในวัดแห่งนี้บ่อยครั้ง และเมื่อสร้างวัดเสร็จ ในหลวง รัชกาลที่ 9 เสด็จไปเปิด และประทับอยู่ที่วัดทั้งวันตกเย็นในหลวงได้พระราชทานของที่ระลึกเป็นเหรียญที่มีรูปของพระองค์ท่าน ซึ่งผมได้รับพระราชทานจากพระหัตถ์ในหลวง มีไม่กี่คนในครั้งนั้นที่ได้รับ ผมก็แขวนติดตัวไว้ตลอด เพราะถือเป็นบุญ เป็นโชคดีมหาศาลแก่ชีวิต”

หลังจากนั้น “สินธุ” ซึ่งถือเป็น “วิศวกร” ที่ได้รับการยอมรับในฝีมือลำดับต้นๆ ของเมืองไทย ยังมีโอกาสได้ “ทำเพื่อพ่อ” อีกหลายครั้ง ซึ่งเขาเล่าว่า ครั้งหนึ่งตนมีโอกาสร่วมกับบริษัทต่างชาติในการก่อสร้าง “โรงไฟฟ้าบางปะกง” จ.ฉะเชิงเทรา ซึ่งในหลวง รัชกาลที่ 9และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จไปเปิด วันนั้นมีการเชิญทีมงาน “ผู้ออกแบบ” ไปเข้าเฝ้าฯรับเสด็จ ซึ่งตนมีโอกาสได้ยืนอยู่แถวหน้า และเป็นคนไทยคนเดียวในนั้น เมื่อพระองค์ท่านเสด็จมาถึง แล้วทอดพระเนตรเห็นตน พระองค์ท่านก็เสด็จเข้ามาแล้วก็ชี้พระหัตถ์มาที่ตน พร้อมตรัสขอบคุณ และตรัสว่า...

“รู้หรือไม่ โรงไฟฟ้าแห่งนี้จะทำประโยชน์ให้ประเทศชาติมาก ผมก็พูดอะไรไม่ออก เพราะตื้นตันและภูมิใจ”

อีกครั้งหนึ่ง คือ ตนได้รับการประสานจาก “ดร.อำนวย วีรวรรณ” อดีตรองนายกรัฐมนตรี ว่า อยากให้ช่วยหาทีมออกแบบหอประชุมใหม่ของ “มหาวิทยาลัยขอนแก่น” เพราะเห็นแล้วไม่สมพระเกียรติเวลาที่ในหลวง รัชกาลที่ 9 เสด็จไปมอบปริญญาบัตร จึงต้องการจะสร้างใหม่ แต่มีงบประมาณจำกัดจะทำอย่างไรดี ตนก็รับปากว่าจะช่วย จึงตั้งทีมงานขึ้นมาและ “ออกแบบ” แปลนให้ จนสร้างเสร็จลุล่วง เฉพาะค่าออกแบบใช้งบประมาณกว่า 10 ล้านบาท ซึ่งสมัยนั้นถือว่าสูงมาก แต่ตนและทีมงานไม่ขอรับค่าออกแบบ เพราะตั้งใจทำงานนี้เพื่อถวายในหลวง รัชกาลที่ 9

“ที่ไม่คิดค่าออกแบบ เพราะเห็นพระองค์ท่านทำอะไรให้คนไทยแล้ว ก็อยากทำอะไรให้พระองค์ท่านบ้าง แม้สิ่งที่ทำจะเทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่พระองค์ท่านทำให้เรา ถือเป็นบุญ เป็นความภูมิใจที่ได้ทำเพื่อพระองค์ท่าน”

ด้วยความที่เป็นคน “เชียงใหม่” ทำให้ “สินธุ” มองเห็นความลำบากของบรรดาพี่น้องคนไทยที่เป็น “ชาวเขา” ซึ่งไม่ใคร่มีใครจะให้ความสนใจเข้ามาช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ แต่ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของในหลวง รัชกาลที่ 9 ทำให้ชาวเขาเหล่านี้มีชีวิตที่ดีขึ้น พระองค์ท่านให้ความสนพระทัยกับชาวเขาอย่างมาก พระองค์ท่านทรงลำบาก
พระวรกายเสด็จฯเข้าไปเยี่ยมเยียน และจัดตั้งโครงการต่างๆ มากมายเพื่อช่วยเหลือ กลายเป็นโครงการพระราชดำริมากมาย

นอกจากนี้ด้วย “พระบารมี” ในหลวง ยังทรงช่วยประเทศไทยให้ผ่านพ้นวิกฤติมาได้หลายต่อหลายครั้ง ซึ่งครั้งที่ สินธุ” จำได้ดี คือ เมื่อครั้งเหตุการณ์ “พฤษภาทมิฬ” พ.ศ.2535 พระองค์ทรงตรัสกับ พล.อ.สุจินดา คราประยูร นายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น และ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำประชาชน ว่า...

“...พล.อ.สุจินดา และ พล.ต.จำลอง ช่วยกันคิด คือ หันหน้าเข้าหากัน ไม่ใช่ประเทศของหนึ่งคนสองคน เป็นประเทศของทุกคน ต้องเข้าหากัน ไม่เผชิญหน้ากันแก้ปัญหาเพราะว่าอันตรายมีอยู่เวลาคนเราเกิดความบ้าเลือดปฏิบัติการรุนแรงต่อกันมันลืมตัว ลงท้ายก็ไม่รู้ว่าตีกันเพราะอะไร แล้วก็จะแก้ปัญหาอะไร เพียงแต่ว่าจะต้องเอาชนะ แล้วก็ใครจะชนะ ไม่มีทางชนะ อันตรายทั้งนั้น มีแต่แพ้ คือต่างคนต่างแพ้ผู้ที่เผชิญหน้าก็แพ้แล้ว...

ที่แพ้ที่สุด คือ ประเทศชาติ ประชาชน จะเป็นประชาชนทั้งประเทศ ไม่ใช่ประชาชนเฉพาะในกรุงเทพมหานครเสียหาย ประเทศก็เสียหายทั้งหมดแล้วจะมีประโยชน์อะไรที่จะทนงตัวว่าชนะเวลาอยู่บนกองสิ่งปรักหักพัง...”

หลังจากนั้นด้วยพระบารมีของในหลวง รัชกาลที่ 9 เหตุการณ์รุนแรงดังกล่าวก็กลับคืนสู่สภาวะปกติอย่างรวดเร็ว

“ผมคิดว่าสำหรับในหลวงแล้ว พระองค์ท่าน คือ เทวดาที่ถูกส่งลงมาช่วยประเทศ และปวงชนชาวไทย ทั่วโลกยังยกย่องในพระอัจฉริยภาพของพระองค์ท่าน ทุกโครงการที่พระองค์ท่านทำมีประโยชน์มหาศาลมากซึ่งการที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐบาล นำโครงการต่างๆ ที่พระองค์ท่านทำไว้มาเผยแพร่ทางโทรทัศน์ทุกวันตั้งแต่ช่วงที่เข้ามาเป็นรัฐบาลใหม่ๆ ถือเป็นเรื่องที่ดีมากๆ เพราะจะช่วยให้อนุชนคนรุ่นหลัง เด็กเล็กๆ ได้มีโอกาสได้สัมผัส และรับรู้ถึงพระราชกรณียกิจ และรู้จักในหลวงมากขึ้น ตรงนี้ก็อยากจะฝากไปถึง พล.อ.ประยุทธ์ ว่าขอให้อดทนมากๆ และเดินหน้าช่วยปฏิรูปประเทศต่อไป”

“สินธุ” กล่าวทิ้งท้ายว่า งานต่างๆ ที่ตนได้มีโอกาสได้ทำถวายพระองค์ท่านเพียงเท่านี้ ก็ถือเป็นบุญสูงสุดในชีวิตของวิศวกรคนหนึ่ง และเชื่อว่า “พระบรมราโชวาท”,พระจริยวัตร และอื่นๆ ของพระองค์ท่านเป็นสิ่งที่มีคุณค่า เป็น “คุณูปการ” อย่างยิ่งต่อคนไทย ที่จะนำไปเป็นต้นแบบในการดำเนินชีวิต และเป็นเข็มทิศให้กับคนไทยทุกคนในการที่จะช่วยกันพัฒนาประเทศต่อไป ด้วยการ...

“เดินตามรอยเท้าพ่อ”...

วิโรจพันธ์ อนันต์ภิรมย์รื่น : สัมภาษณ์