ฟุตบอลโลก ครั้งที่ 1 ปี 1930 ที่อุรุกวัย
“เรามีข้อเสนอที่คุณจะปฏิเสธไม่ได้!!!”
สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือ ฟีฟ่า ได้รับการยืนยันอย่างหนักแน่นจากประเทศอุรุกวัย ว่า พวกเขาพร้อมมากที่จะเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก สมัยแรก
พร้อมกับจะออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดให้กับทุกทีมมาแข่งขัน
ทุกอย่างลงตัว กำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 13-30 กรกฏาคม 1930 มีทีมเข้าร่วมฟาดแข้งทั้งหมด 13 ชาติ เหตุผลที่มีทีมเข้าร่วมการแข่งขันน้อยเนื่องจากทวีปอเมริกาใต้ นั้นอยู่ไกลและใช้เวลาในการเดินทางนาน ทำให้มีหลายชาติจากยุโรปเลือกที่จะปฏิเสธ และทีมที่ไปก็ไปด้วยกันก็มี!!!
อุรุกวัย ชาติเจ้าภาพ และครองแชมป์ฟุตบอลโลกสมัยแรก
เรือที่ชื่อ "SS Conte Verde" จอดรับบอร์ดบริหารของฟีฟ่า ณ ท่าเรือวิลฟรองเช่-ซูร์-แมร์ ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองนีซ ออกเดินทางไปพร้อมกับทีมชาติฝรั่งเศส, เบลเยี่ยม และโรมาเนีย พร้อมกับแวะรับ บราซิล ที่ริโอ เดอ จาไนโร อีกด้วย ส่วน ยูโกสลาเวีย เช่าเรือไปด้วยตัวเอง
ปรากฏว่า สนามแข่งขันเสร็จไม่ทันตามกำหนด โดยเฉพาะ เอสตาดิโอ เซนเตนาริโอ ที่สร้างเพื่อการนี้โดนเฉพาะมีความจุถึง 90,000 ที่นั่ง ทำให้เกมเปิดสนามระหว่าง ฝรั่งเศส กับ เม็กซิโก ต้องไปเล่นที่เอสตาดิโอ โปซิตอส
บันทึกเกมฟุตบอลโลกนัดแรก เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 1930 “ลูเซียง โลรองต์” นักเตะฝรั่งเศส ทำประตูแรกในประวัติศาสตร์ในนาทีที่ 19 ก่อนที่ ฝรั่งเศส จะชนะไป 4-1 และมีการบันทึกผู้ชมนัดเปิดสนามไว้ที่ 4,444 คน
บันทึกมีให้ศึกษาอย่างมากสำหรับฟุตบอลโลกครั้งแรก นอกจากจะต้อง”ลงเรือลำเดียวกัน” ยังมีอีกเยอะกับ”ปฐมบทฟุตบอลโลก”
ลูเซียง โลรองต์ ของฝรั่งเศส ผู้ทำประตูแรกในฟุตบอลโลก
คอนสแตนติน ราดูเลสคู ผู้จัดการทีมชาติโรมาเนีย ไม่เพียงแต่คุมทีมเท่านั้น เขายังเป็น”ไลน์แมน” ในเกมระหว่าง อาร์เจนติน่า พบ อุรุกวัย ในนัดชิงอีกด้วย
กษัตริย์ “คิง คาโรล” ของโรมาเนีย ทรงให้นักเตะชุดบอลโลก หยุดงานได้ 3 เดือนโดยการันตีว่า จะมีงานทำต่อเมื่อเดือนทางกลับมาจากการแข่งขัน พร้อมกับมีเรื่องราวในตำนานว่า พระองค์ทรงมีส่วนในการจัดตัวนักบอลอีกต่างหาก
อุลิเซส์ เซาเซโด้ กุนซือของโบลีเวีย ก็รับงานสองจ็อบเช่นกัน ด้วยการเป็นผู้ตัดสินในเกมระหว่ง อาร์เจนติน่า กับ ฝรั่งเศส แถมยังเป่า 3 จุดโทษในเกม อาร์เจนติน่า ยำ เม็กซิโก 6-3
มานูเอล เฟร์เรยร่า กัปตันทีมชาติอาร์เจนติน่า ไม่ได้ลงเล่นในรอบแรกเลย เนื่องจากต้องกลับไปบ้านเกิด เพราะติดสอบที่มหาวิทยาลัย!!!
ขณะที่ผู้ตัดสินนัดชิงชนะเลิศคือ ฌอง ลานเกนุส จากเบลเยี่ยม ที่ได้รับมอบหมายการทำหน้าที่ หลังจากมีประสบการณ์ตั้งแต่โอลิมปิก 1928 ต่อมาเขาได้ออกหนังสือ "Whistling in the World" ในการถูกขู่จากทั้งฝั่ง อุรุกวัย และ อาร์เจนติน่า ก่อนลงทำหน้าที่นัดชิงชนะเลิศ
SS Conte Verde เรือที่ขนนักเตะและบอร์ดบริหารฟีฟ่า เดินทางถึงอุรุกวัย
เกมนัดชิงชนะเลิศที่เมืองหลวง มอนเตวิเดโอ ใช้สนาม เอสตาดิโอ เซนเตนาริโอ้ เป็นสังเวียน ซึ่งถือว่าเป็นสนามที่มีความพร้อมมากที่สุด ในเกมนี้จุแฟนบอลได้ถึง 93,000 คน
ประเด็นคือ เนื่องจากทั้งสองฝ่ายต่างมีลูกฟุตบอลของตัวเอง และตกลงกันไม่ได้ ทำให้นัดชิงต้องใช้ลูกฟุตบอล 2 ลูก ด้วยประสบการณ์ เขาไม่สะทกสะท้าน และให้เหตุผลที่แฟร์มาก ๆ ครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ลูกหนังโลก
ครึ่งแรกใช้ของ อาร์เจนติน่า สไตล์ลูกบอลคือ “Tiento” ครึ่งหลังใช้ของ อุรุกวัย คือ “T-model”
เอ็คตอร์ คาสโตร ดาวเตะแขนเดียวของอุรุกวัย
ผลออกมาคือ ครึ่งแรก อาร์เจนติน่า นำก่อนด้วยบอลของตัวเอง 2-1 พอมาครึ่งหลังใช้บอลของอุรุกวัย กลายเป็นพวกเขายิงได้ถึง 3 ประตู ส่งผลให้ อุรุกวัย ชนะ 4-2 คว้าแชมป์โลกไปครอง
ยิ่งไปกว่านั้น ลานเกนุส ได้ทำสัญญากับฝ่ายจัดการแข่งขันว่า ให้เตรียมเรือเอาไว้ให้เขาออกจากสนามให้เร็วที่สุด หากว่ามีอะไรไม่คิดคิดเกิดขึ้น!!!
ลงท้าย โฮเซ่ นาสซาซรี่ แบ๊คขวาของอุรุกวัย เป็นกัปตันทีมคนแรกของโลก ที่พาทีมได้แชมป์โลก พร้อมกับ “El manco” เอ็คตอร์ คาสโตร ผู้ยิงประตูปิดท้ายของเกม เป็นนักเตะ”แขนเดียว” เนื่องจากอุบัติเหตุเสียแขนขวาไปตั้งแต่อายุ 13 ปี!!!
ที่สุดแห่งความทรงจำ : นัดชิงตกลงกันไม่ได้ ต้องใช้บอล2ลูกจากทั้งสองทีม
ฌอง ลานเกนุส ผู้ตัดสินจากเบลเยี่ยม ที่ได้ทำหน้าที่ในนัดชิงบอลโลก สมัยแรก
ฟุตบอลโลก ครั้งที่ 2 ปี 1934 ที่อิตาลี
อิตาลี รับหน้าเสื่อเป็นเจ้าภาพ ว่ากันว่ามาจากอิทธิพลจากรัฐบาลฟาสซิสต์ ที่นำโดย เบนิโต้ มุสโซลินี่ ผู้นำเผด็จการ ที่”วางแผน”เอาไว้ล่วงหน้าหลายปี โดยเฉพาะการส่งสลายลับไปทาบทาม หลุยส์ มอนตี้ มิดฟิลด์ชาวอาร์เจนติน่า ชุดรองแชมป์โลก 1930 ที่มีมารดาเป็นอิตาเลี่ยน เพื่อมารับใช้แผ่นดินแม่
รัฐบาลฟาสซิสต์มักคลั่งไคล้บูชาความแข็งแรงสมบูรณ์ของร่างกาย รัฐบาลพวกนี้จึงเต็มใจทุ่มเททรัพยากรในชาติจำนวนมากให้โครงการด้านกีฬา และแน่นอนมีข่าวคราวเรื่องการข่มขู่ พร้อมกับทำทุกอย่างให้ได้มาซึ่งชัยชนะ แต่นั่นก็ต้องมีทีมที่แข็งแกร่งด้วย
ฟีฟ่า ปฏิบัติการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการแข่งขัน ด้วยการยกเลิกการแบ่งกลุ่ม แล้วเตะแบบน็อคเอาท์กันไปเลย อีกทั้งแข่งขันถึง 8 เมืองทั่วถิ่นรองเท้าบู๊ต ผิดกับครั้งแรกที่อุรุกวัยใช้เพียงแค่เมืองหลวงของพวกเขาเท่านั้น
เป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในประวัติศาสตร์ ที่แชมป์เก่าปฏิเสธเข้าร่วม เพราะต้องการ”เอาคืน” ชาติจากยุโรป รวมถึง อิตาลี ที่ปฏิเสธไปแข่งที่บ้านพวกเขา
การแข่งขันถูกมองว่ามี “การเมือง”มาแทรกแซงมากจนเกินไป รวมถึงการตัดสินที่เกรงใจเจ้าภาพ แต่ด้วยความแข็งแกร่งของอิตาลี ที่นอกจากจะมีนักบอลอเมริกาใต้โอนสัญชาติมาเล่นแล้ว พวกเขายังมีนักเตะชั้นดีอย่าง จูเซ้ปเป้ เมียซซ่า เป็นกำลังสำคัญ ก่อนจะปราบ เชโกสโลวาเกีย ในช่วงต่อเวลา 2-1 ครองแชมป์ไปได้อย่างสมใจอยาก
ที่สุดแห่งความทรงจำ : เป็นนัดชิงนัดเดียวที่มีประตูทั้งสองฝั่งเป็นกัปตันทีม คือ อันปิเอโร คอมบิ ของอิตาลี กับ ฟรานติเซ็ค พลานิชกา ของเชโกสโลวาเกีย
ฟุตบอลโลก ครั้งที่ 3 ปี 1938 ที่ฝรั่งเศส
เป็นการดวลแข้งที่อึมครึมและตรึงเครียดอย่างที่สุด เพราะในเวลานั้น สงครามโลก ครั้งที่ 2 กำลังจะเริ่มต้นขึ้น ทั้งปัญหาจากการมุ้งและการเมือง
ออสเตรีย ถอนทีม เพราะพวกเขาเข้าผนวกกับ เยอรมนี ทำให้การดวลแข้งเหลือ 15 ทีมทันที และสวีเดน ได้บายเข้ารอบ ในเกมที่รอบแรกเตะแบบน็อคเอาท์
ส่วน สเปน เจอกับปัญหาสงครามกลางเมือง ไม่ได้ส่งทีมแข่งขัน แถมขาใหญ่จากลาตินอเมริกา ทั้ง อุรุกวัย และอาร์เจนติน่า ประกาศถอนตัว โดยเฉพาะ “ฟ้าขาว” ที่แพ้ในการโหวตเจ้าภาพ ให้เหตุผลว่า ทำไมถึงจัดที่ยุโรป 2 สมัยติดต่อกัน
ท่ามกลางความวุ่นวาย แต่สองชาติที่ไม่เคยเข้ารอบมาก่อน เดินทางมาดวลแข้งทั้ง คิวบา และดัตช์ อีสต์ อินดีส์ ซึ่งปัจจุบันคือ อินโดนีเซีย
ในส่วนของเกมการแข่งขัน อิตาลี ยังมี จูเซ็ปเป้ เมียซซ่า นำทัพ แม้จะมีการปรับทัพไปมากมาย แต่แกนรุกทั้ง 5 คนถือว่ายังเฉียบขาด คว้าแชมป์ได้อีกสมัย
อิตาลีกลายเป็นชาติแรกที่ป้องกันแชมป์ฟุตบอลโลกได้สำเร็จ ด้วยการปราบฮังการีไป 4-2 และจากนั้นฟุตบอลโลกต้องหยุดยาวไปถึง 12 ปี
เพราะสงครามโลก ครั้งที่ 2
ที่สุดแห่งความทรงจำ : วิคตอริโอ ปอซโซ่ เป็นคนแรกและคนเดียวที่พาทีมคว้าแชมป์โลกได้ 2 สมัยติดต่อกัน
ฟุตบอลโลก ครั้งที่ 4 ปี 1950 ที่บราซิล
การกลับมาแข่งขันอีกครั้ง หลังจากจบสงครามโลก ครั้งที่ 2 จบลง แต่หลายชาติ”ยังบอกช้ำ” และ”ยังไม่พร้อม” ที่จะส่งทีมเข้าร่วมการดวลแข้ง เนื่องจากภาวะขอสงคราม
ผลพวงจากสงครามโลก ฮังการีและเชโกสโลวาเกีย ไม่พร้อมในรอบคัดเลือก รวมถึง เยอรมัน กับ ญี่ปุ่น โดนแบนจากการคว่ำบาตรของนานาประเทศ
เวิลด์คัพกลับมาจัดที่ทวีปอเมริกาใต้ เป็นหน้าที่ของประเทศบราซิล เป็นเจ้าภาพ หลังจาก บราซิล ชนะการโหวตเหนือ เยอรมัน ในปี 1942 โดยลงทุนครั้งสำคัญด้วยการสร้างสนามมาราคานา สนามฟุตบอลที่ใหญ่ที่สุดในโลก จุดผู้ชมได้เกือบสองแสนคน เพื่อปักหมุดความยิ่งใหญ่แห่งทัวร์นาเมนต์สำคัญนี้
การจัดการแข่งขันกลับมาใช้ระบบแบ่งกลุ่ม ในรอบแรก แต่ที่ผิดแปลกออกไปก็คือ รอบต่อมาก็แบ่งกลุ่ม เล่นแบบพบกันหมด ใครมีคะแนนมากที่สุดได้แชมป์ไปครอง
คู่สุดท้ายละม้ายคล้ายคู่ชิง เมื่อ บราซิล ที่ถล่ม สวีเดน 7-1 และยำ สเปน 6-1 ต้องการแค่ผลเสมอ ก็จะครองแชมป์โลกเป็นสมัยแรก เจอกับ อุรุกวัย ที่ชนะ 1 เสมอ 1 ต้องการชนะให้ได้อย่างเดียว
บราซิล นำก่อน แต่โดน อุรุกวัย รัวรวดเดียว 2 เม็ดโดยเฉพาะประตูชัยจาก อัลซิเดสน เอ๊ดการ์โด้ “กิกเกีย” เปเรยร่า ปีกร่างบางลูกครึ่งอิตาลี-อุรุกวัย ทำให้ อุรุกวัย ชนะ 2-1 คว้าแชมป์มาครองท่ามกลางน้ำตาจากแฟนบอล 199,854 คนในสนามที่ร้อยละ 95 เป็นชาวบราซิเลี่ยน
จนเป็นที่มาของ Maracanazo หรือน้ำตามแห่งมาราคาน่า..........
ที่สุดแห่งความทรงจำ : อินเดีย ถอนตัวไม่ไปเล่นรอบสุดท้าย เนื่องจากเจ้าภาพไม่อนุญาติให้ลงแข่งขันด้วย”เท้าเปล่า”
ฟุตบอลโลก ครั้งที่ 5 ปี 1954 ที่สวิตเซอร์แลนด์
การดวลแข้งมายังที่ทำการของฟีฟ่า แดนนาฬิกา มีการถล่มประตูกันอย่างมากมาย และมีการพลิกล็อคครั้งสำคัญเกิดขึ้นในรอบชิงชนะเลิศ
ทีมแชมป์โอลิมปิคอย่าง “แม็กยาร์” ฮังการี ได้รับการยอมรับว่าเป็นทีมที่ดีที่สุดในโลก ด้วยปรัชญาการทำทีมของ กุสซ์ตาฟ เซเบส พวกเขาไม่แพ้ใคร 31 รนัดรวด มีนักเตะชั้นยอดอย่าง เฟเรนซ์ ปุสกัส เป็นกัปตันนำทัพ พร้อมด้วยคู่หูในแนวรุก ซานดอร์ คอซซิซ โดยมี โซลตัน ซิบอร์ กับ มิฮาลี่ย์ ท็อธ เดินเกมขนาบข้าง
“ไมห์ตี้ แม็กยาร์” ในสไตล์ 3-3-4 ไล่ยุงคู่แข่งพรุนไปหมด โดยเฉพาะการยำ เยอรมันตะวันตก 8-3 ในรอบแรก และได้มาเจอกันในวันตัดสินแชมป์
ทุกอย่างเหมือนง่าย เมื่อ ฮังการี ขึ้นนำ 2-0 ตั้งแต่ 8 นาทีแรก แต่แข้งอินทรีเหล็ก ที่เพิ่งเป็นสมาชิกของฟีฟ่าได้เพียง 4 ปี กลับมายิง 3 ประตู โดยเฉพาะประตูชัยจาก เฮลมุต ราห์น ในช่วงท้ายเกม 3-2
ถือเป็นเหตุการณ์ช็อคโลกครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ และได้รับฉายาว่า “ปาฏิหาริย์แห่งเบิร์น” หรือ "Miracle of Bern"
ที่สุดแห่งความทรงจำ : มีการถ่ายทอดสดการแข่งขันให้ได้ชมกันเป็นครั้งแรก.
บี แหลมสิงห์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี