หลังจากรอคอยมานานถึง 24 ปี “แซมบ้า” บราซิล กลับมาครองแชมป์โลกได้อีกครั้ง

เกมการดวลที่สหรัฐอเมริกา ในรอบแรก บราซิล อยู่ในกลุ่มบี เริ่มต้นด้วยการเอาชนะ รัสเซีย ไปได้ 2-0 ตามด้วยการถล่มเอาชนะ แคเมอรูน 3-0 และปิดท้ายเสมอกับ สวีเดน ไป 1-1 เข้ารอบน็อคเอาท์ด้วยการเป็นอันดับหนึ่งของกลุ่ม

รอบ 16 ทีมสุดท้าย บราซิล ต้องพบกับทีมเจ้าภาพ และต้องเหลือผู้เล่น 10 คนตั้งแต่ก่อนจบครึ่งแรก เมื่อ เลโอนาร์โด้ ไปสับศอกใส่ แท็บ รามอส โดนใบแดงไล่ออกจากสนามไป แต่ “แซมบ้า” ที่ตัวน้อยกว่ายังเอาตัวรอดได้ด้วยชัยชนะ 1-0 จากประตูโทนของ เบเบโต้ แต่ เลโอนาร์โด้ โดนแบนไปทั้งทัวร์นาเมนท์

ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย บราซิล ต้องโคจรมาพบกับ เนเธอร์แลนด์ พวกเขานำก่อนสองประตูจาก โรมาริโอ้ และ เบเบโต้ พร้อมกับทำท่า “ไกวเปล” ฉลองชัยที่ถูกจดจำไปตลอดกาล ก่อนจะถูกอัศวินสีส้ม มารัวยิงสองประตูตามตีเสมอจาก เดนนิส เบิร์กแคมป์ และ อารอน วินเธอร์ แต่ทว่า บราซิล มาได้ประตูชัยจากลูกยิงฟรีคิกสุดสวยด้วยซ้ายของ บรังโก้

ทัพแซมบ้าต้องโคจรมาพบกับ สวีเดน คู่แข่งในรอบแบ่งกลุ่ม แต่เกมนี้ บราซิล สามารถเฉือนเอาชนะไปได้ 1-0 จากประตูชัยของ โรมาริโอ้ ส่งให้ทีมผ่านเข้าไปชิงชนะเลิศเป็นครั้งที่ 5

เกมนัดชิงชนะเลิศ บราซิล ต้องพบกับ อิตาลี ที่เพิ่งจะสยบความร้อนแรงของ บัลแกเรีย มา 2-1 เกมนี้ไม่มีสกอร์เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกของนัดชิงชนะเลิศ จากนั้นในช่วงต่อเวลาพิเศษก็ยังทำอะไรกันไม่ได้ ต้องไปตัดสินด้วยการดวลจุดโทษ และเป็น บราซิล ที่ชนะไป 3-2 พร้อมกับภาพ “เทพบุตรเปียทองคำ” โรแบร์โต้ บาจโจ้ ยืนคอตก หลังจากซัดบอลข้ามคาน

 “แซมบ้า” กลับมาเป็นแชมป์ นี่คือแชมป์โลกสมัยที่ 4 และเป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้โทรฟี่ฟีฟ่า เวิลด์คัพ ไปเชยชม