.

อิตาลี คว้าแชมป์โลกได้เป็นหนแรก หลังจากหมดยุคสงครามโลก และเกมการเมืองของ มุสโสลินี่ พวกเขาได้แชมป์เป็นสมัยที่ 3 ที่ประเทศสเปน

พวกเขาไม่มีวี่แววจะเป็นแชมป์ หลังจากรอบแรกที่อยู่ในกลุ่ม 1 ประกอบไปด้วย โปแลนด์, แคเมอรูน และ เปรู  ปรากฏว่า พวกเขาเสมอรวดทั้ง 3 เกม มีแต้มเท่ากับ แคเมอรูน ที่เสมอมา 3 เกมเหมือนกันและลูกได้เสียดันเท่ากันอีกตั้งหาก แต่ทว่า อิตาลี นั้นเข้ารอบด้วยการเป็นอันดับสองของกลุ่มเนื่องจากพวกเขายิงประตูได้มากกว่า

รอบต่อมา ในการเตะแบบมินิลีก อิตาลี นั้นไปอยู่ในกลุ่มซี ซึ่งถือว่าเป็นกรุ๊ป ออฟเดธ เลยทีเดียว ประกอบไปด้วย อาร์เจนติน่า และ บราซิล

แต่พวกเขามาแสดงให้เห็นถึงพลังที่แท้จริงเข้ารอบน็อคเอาท์ด้วยการเฉือน อาร์เจนติน่า 2-1 และบดเอาชนะ บราซิล ไปแบบสุดมันส์ 3-2 จากการทำแฮตทริกของ เปาโลรอสซี่ หัวหอกที่ถูกตราหน้าว่า“ไอ้ขี้คุก” ที่ก่อนจะมาแข่งครั้งนี้ ถูกลงโทษห้ามเล่นฟุตบอลนานถึง 2 ปีจากกรณีมีส่วนพัวพันกับการล้มบอล

ในรอบรองชนะเลิศ อิตาลี ต้องโคจรมาพบกับ โปแลนด์ อีกครั้ง ซึ่งคราวนี้ทัพอัซซูรี่สามารถเอาชนะไปได้ 2-0 จากการเหมาคนเดียวสองประตูของ รอสซี่ คนเดิม ส่งให้ทีมผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้สำเร็จ

การแข่งขันในรอบไฟน่อล อิตาลี ต้องพบกับแชมป์ 2 สมัยอย่าง เยอรมันตะวันตก ที่ดวลจุดโทษเอาชนะ ฝรั่งเศส มาแบบสุดมันส์ หลังจากเสมอกันในเวลาปกติ 3-3

ครึ่งแรกนั้นเสมอกันแบบไม่มีสกอร์ อันโตนิโอ คาบรินี่ ยิงจุดโทษไม่เข้าอีกต่างหาก เกมมาในครึ่งหลัง อิตาลี ได้ 3 ประตูรวดจากการตอร์ปิโดบกของ รอสซี่ ตามด้วยลูกยิงหน้ากรอบเขตโทษของ “ไอ้ม้าเหล็ก” มาร์โก ทาร์เดลลี่ และ อเลสซานโดร อัลโตเบลลี่ ก่อนที่ เยอรมันตะวันตก จะตีตื้นจาก พอลไบร์ทเนอร์ แต่ก็ไล่ไม่ทัน ทำให้ อิตาลี เอาชนะ เยอรมันตะวันตกไปได้ 3-1 ผงาดคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกสมัยที่ 3 ของพวกเขาได้สำเร็จทาบสถิติตลอดกาลของ บราซิล

ส่วน เปาโล รอสซี่ กลายเป็นฮีโร่ของชาวอิตาลี คว้ารางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเมนท์ พร้อมกับตำแหน่งดาวซัลโวจากการซัดไป 6 ประตู