ศึกฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก หรือ The 2019 FIFA Club World Cup ได้ฤกษ์เปิดฉากแล้วระหว่างวันที่ 11-21 ธันวาคมนี้ ที่ประเทศกาตาร์ โดยมีทั้งหมด 7 สโมสรเข้าร่วมการแข่งขัน โดยจะใช้ทั้งหมด 2 สนาม ที่กรุงโดฮา ประกอบด้วย คาลิฟา อินเตอร์เนชันแนล และยาสซิม บิน ฮาหมัด สเตเดี้ยม ซึ่งปีนี้ทีมดังอย่าง “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล จากอังกฤษ เจ้าของแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก จะลงสนาม
ในสายบน รอบเแรก อัล-ซาดด์ แชมป์กาตาร์ สตาร์ ลีก ที่ได้สิทธิ์ลงแข่งในฐานะเจ้าภาพ จะดวลกับ เฮียนเกนี่ สปอร์ต จากนิว คาเลโดเนีย เจ้าของแชมป์โซนโอเชียเนีย ในวันที่ 11 ธันวาคม ผู้ชนะคู่นี้จะเข้ารอบ 2 มาพบกับ ซี.เอฟ.มอนเตเรย์ เจ้าของแชมป์โซนอเมริกาเหนือ หรือ คอนคาเคฟ แชมเปี้ยนส์ลีก จากประเทศเม็กซิโก ในวันที่ 14 ธันวาคม เพื่อหาผู้ชนะเข้าไปเล่นในรอบรองชนะเลิศเจอกับ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล แชมป์ยุโรป จะได้ยืนรอในรอบรองชนะเลิศ ในวันที่ 18 ธันวาคมนี้
ขณะที่สายล่าง จะไม่มีรอบแรก จะสตาร์ทรอบ 2 ทันที โดย เอสเปแรนซ์ เด ตูนิส จากประเทศตูนิเซีย แชมป์จากทวีปแอฟริกา พบกับ อัล-ไฮลัล จากซาอุดีอาระเบีย แชมป์เอเชีย โดยผู้ชนะระหว่าง เด ตูนิสหรือ อัล-ไฮลัล จะเข้ามาเจอกับ ฟลาเมงโก้ แชมป์โคปาลิเบอร์ตาดอเรสคัพ ในรอบตัดเชือกต่อไป
สำหรับรายการนี้มีเพียง ฟลาเมงโก้ เพียงทีมเดียวเท่านั้นที่เคยได้แชมป์ ต้องย้อนกลับไปเมื่อ 38 ปีก่อน ในยุคที่ใช้ชื่อว่า อินเตอร์คอนติเนนตัล คัพ ซึ่ง ฟลาเมงโก้ เอาชนะ ลิเวอร์พูล ไปได้ 3-0 โดยมี “เปเล่ขาว” ซิโก้ จอมทัพทีมชาติบราซิล เป็นแกนนำ และจูเนียร์ ยอดแบ๊คแห่งตำนาน ส่วน “หงส์แดง” ยุคนั้นคุมทัพมาโดย บ็อบ เพสลี่ย์ แต่มีเวลาเตรียมตัวไม่ถึง 24 ชั่วโมงต้องลงแข่งขัน ทำให้มีส่วนในการแพ้ขาดลอย
สำหรับทีมที่เข้าทำการแข่งขันในครั้งนี้ 6 ทีมที่จะสู้กับลิเวอร์พูลมีประวัติดังนี้
๐ อัล-ซาดด์(แชมป์กาตาร์ สตาร์ ลีก)
ก่อตั้งทีมมาแล้ว 50 ปี เป็นแชมป์ลีกสูงสุดของกาตาร์มากที่สุด 14 สมัย มีหลายฉายาแต่ที่น่าสนใจสุดก็คือ Al Dheeb หรือ "หมาป่า" ที่มี ชาบี เอร์นานเดซ อดีตจอมทัพบาร์เซโลน่า และทีมชาติสเปน ชุดแชมป์บอลโลก 2010 และดับเบิ้ลแชมป์ยูโร ปี 2008 กับ 2012 คุมทีม
ทีมนี้มีนักเตะต่างชาติ 4 คน ประกอบด้วย กาบี้ อดีตกัปตันทีมแอตเลติโก มาดริด วัย 36 ปี, นัม แต ฮี กองกลางทีมชาติเกาหลีใต้ วัย 28 ปี ที่เพิ่งย้ายมาหมาด ๆ, จุน วู ยอง ห้องเครื่องทีมชาติเกาหลีใต้ อีกราย และ แบกห์แดด บูเนดจาห์ กองหน้าทีมชาติแอลจีเรีย
ที่เหลือเป็นรักเตะทีมชาติกาตาร์ ซาอัด อัล ชีบ ผู้รักษาประตู,กองหลัง บูอาเล็ม คูคฮี, เปโดร มิเกล คาร์วัลโญ่ หรือ โรโร่, ทาเร็ค ซัลมาน,กองกลาง ซาเล็ม อัล-ฮาจรี่ และกองหน้า ฮัสซัน อัล-ฮายดอส กัปตันทีม, อัคราม อาฟิฟ ส่วนใหญ่เป็นกำลังหลักในชุดแชมป์เอเชียน คัพ ปี 2019 ที่ผ่านมา
ที่สำคัญพวกเขาจะได้เล่นในสนามเหย้าตัวเอง นั่นคือ ยาสซิม บิน ฮาเหม็ด สเตเดี้ยม ในเกมแรก
๐ เฮียนเกเน่ สปอร์ต(แชมป์โอเชียเนีย)
ทีมจากประเทศนิว คาเลโดเนีย ซึ่งเป็นดินแดนของฝรั่งเศส มีอยู่หลายสิบเกาะในแปซิฟิกใต้ มีทั้งหมด 33 จังหวัด โด่งดังเรื่องของปาล์ม และทะเลสาบที่อุดมไปด้วยสิ่งมีชีวิตทางทะเล กว่า 24,000 ตารางกิโลเมตร ถือว่าใหญ๋สุดอีกแห่งของโลก
เจ้าของแชมป์ โอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก ก่อตั้งทีมเมื่อปี 1997 เป็นแชมป์ประเทศ 2 สมัย และแชมป์บอลถ้วยในประเทศ 3 สมัย คุมทัพมาโดย เฟลิกซ์ ทากาว่า อดีตนักเตะทีมชาติตาฮิติ วัย 43 ปี
นักเตะในทีมทั้งหมดเป็นชาวนิว คาเลโดเนีย ทั้งหมด ติดทีมชาติรวม 5 คนคือ ร็อกกี้ เอ็นยีเกนี่ นายประตู, เดมิล เบรูเน่ กองหลัง, เซดริกซ ซานโซต์ กับ จอร์ดี้ โกเน่ เป็นกองกลาง และเบอร์ทรานด์ คาอี้ กองหน้าวัย 36 ปี
พวกเขาได้แชมป์โอเชียเนีย ถือเป็นทีมแรกของประเทศที่ทำได้ โดยเข้าชิงกันเองกับ มาเกนต้า ทีมคู่ปรับร่วมลีก ในนัดชิงชนะเลิศ 1-0 ที่สต๊าด นูมา-ดาเลย์ มาเกนต้า เมืองนูเม ประเทศนิว คาเลโดเนีย
รายการนี้มี 18 ทีมเข้าร่วมแข่งจาก 11 ประเทศ ประกอบด้วย ฟิจิ, นิว คาเลโดเนีย, นิว ซีแลนด์, ปาปัว นิว กินี, หมู่เกาะโซโลมอน, ตาฮิติ, วานูอาตู, อเมริกัน ซามัว, ซามัว, ตองก้า และหมู่เกาะคุ้ก
๐ ซี.เอฟ.มอนเตเรย์(แชมป์คอนคาเคฟ)
ทีมดังจากแดนจังโก้ เม็กซิโก ซี เอฟ มอนเตเรย์(Club de Fútbol Monterrey) ที่ได้แชมป์คอนคาเคฟ แชมเปี้ยนส์ลีก มาแล้วถึง 4 สมัย ในยุค 2010 เป็นต้นมา และเคยได้อันดับ 3 ในศึกชิงแชมป์โลกเมื่อ 7 ปีก่อน
ก่อตั้งมาแล้ว 74 ปี นำทัพมาโดย "เอล ตูโค่" ริคาร์โด้ อันโตนิโอ โมฮาเหม็ด อดีตนักเตะทีมชาติอาร์เจนติน่า ยุคต้นทศวรรษที่ 90 ที่กลับมารับงานอีกครั้ง เมื่อ 2 เดือนที่แล้ว หลังจากลาออกไปเมื่อปีก่อน โดยคนที่คุมทีมได้แชมป์คือ ดีเอโก้ อลอนโซ่ ชาวอุรุกวัย ที่ออกจากทีมไปเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา
พวกเขาได้แชมป์ด้วยการชนะ ไทเกรส ยูเอเอ็นแอล คู่ปรับร่วมเม็กซิโก ในนัดชิงด้วยสกอร์รวม 2-1 นัดแรกบุกชนะ 1-0 ก่อนเจ๊าในถิ่น 1-1 ซึ่ง นิโกลัส ซานเชซ ปราการหลังชาวอาร์เจนไตน์ ยิงได้ทั้งไปทั้งกลับทำให้ทีมได้แชมป์
ปีนี้ผลงานในลีกไม่ได้อยู่กลางตาราง พร้อมกับคว้าตัว วินเซนต์ แยนส์เซ่น จาก "ไก่เดือยทอง" สเปอร์ส มาร่วมทัพแบบไม่มีค่าตัว
นักเตะที่น่าจับตามองคือ มิเกล ลายุน แบ๊คซ้ายตัวเก๋าทีมชาติเม็กซิโก ที่ย้ายกลับมาจากยุโรป, เซลโซ่ ออร์ติส ห้องเครื่องทีมชาติปารากวัย, มักซิมิลิอาโน่ เมซ่า ที่โดนโห่หนักในบอลโลก ที่ลงให้กับ อาร์เจนติน่า ก็อยู่ในทีมนี้
อีกคนก็คือ "เมลลิโซ่" โรเจลิโอ ฟูเนส โมรี่ กองหน้าวัย 28 ปีชาวอาร์เจนติน่า ที่ชื่อคุ้น ๆ ไม่ใช่อื่นไกล เพราะเขาเป็นคู่แฝดของ รามิโร ฟูเนส โมรี่ อดีตปราการหลังเอฟเวอร์ตัน ที่ตอนนี้อยู่บียาร์เรอัล นั่นเอง
๐ เอสเปแรนซ์ เด ตูนิส(แชมป์แอฟริกา)
Espérance Sportive de Tunis ทีมจากประเทศตูนิเซีย ฉลองครบรอบ 100 ปีของสโมสร ด้วยการเป็นแชมป์แดนกาฬทวีป สมัยที่ 7 และเป็นแชมป์ปีที่ 2 ติดต่อกัน
พวกเขาเป็นแชมป์ตูนีเซียมาแล้วถึง 29 สมัย และแชมป์บอลถ้วยอีก 15 สมัย เป็นอีกหนึ่งทีมที่มี"สปอร์ตคลับ"เป็นของตัวเองทั้ง ฟุตบอล, แฮนด์บอล, วอลเล่ย์บอล, รักบี้, ว่ายน้ำ, มวยปล้ำ, มวย, ยูโด และอีสปอร์ต
มอยเน่ ชาอาบานี่ กุนซือหนุ่มวัย 38 ปี ก้าวจากมือขวาสามัคคีขึ้นมาเป็นคุมทัพได้ 2 ซีซั่น ได้แชมป์ทวีปติดต่อกัน แต่หนล่าสุดถือว่าเป็นเรื่องเป็นราวใหญ๋โต
เกมนัดชิงแบบเหย้าเยือน เริ่มต้นด้วยการที่ที่ เอสเปแรนซ์ เด ตูนิส บุกไปเสมอ วายดัด คาซาบลังก้า ที่โมร็อกโก ได้ก่อน 1-1 จากนั้นมาเล่นในถิ่นตัวเอง เด ตูนิส ขึ้นนำ 1-0 เกมมาถึงนาทีที่ 61 ต้องหยุดลงเมื่อทีมเยือนทำประตูได้ แต่ไม่ได้ประตู และประท้วงออกจากสนามเพราะการตัดสินวีเออาร์ที่ไม่เคลียร์
เรื่องราวไปไกลถึง ศาลอนุญาโตตุลาการเพื่อการกีฬา หรือ CAS ก่อนจะตัดสินเมื่อ 7 สิงหาคม หรืออีก 2 เดือนต่อมาให้ เดอ ตูนิส เป็นแชมป์ ด้วยเหตุผลทางวินัย
๐ อัล-ไฮลัล(แชมป์เอเชีย)
ทีมจากแดนเศรษฐีน้ำมัน ประเทศซาอุดีอาระเบีย ครองแชมป์เอเชียได้อย่างสวยงามเมื่อเช็คบิล อูวาระ เร้ด ไดมอนด์ ได้แบบทั้งไปทั้งกลับ สกอร์รวม 3-0 เป็นแชมป์รายการนี้สมัยที่ 3
ทีมนี้อยู่ในริยาดห์ ก่อตั้งมาแล้ว 62 ปี การเป็นแชมป์เอเชียหนแรกรอบ 17 ปี คุมทัพโดย ราซวาน ลูเชสคู วัย 50 ปีซึ่งเป็นบุตรชายของ มีร์เซีย ลูเชสคู ตำนานนักเตะและยอดกุนซือของโรมาเนีย
ลูเชสคูผู้ลูก เพิ่งเข้ามาทำงานเมื่อกลางปีที่ผ่านมา หลังจาก อัล-ไฮลัล จ่ายค่าฉีกสัญญาให้กับ พีเอโอเค 2 ล้านยูโร มีนักเตะทีมชาติซาอุฯ ในปัจจุบันเป็นกำลังสำคัญในทีมถึง 7 คนด้วยกัน
นักเตะต่างชาติถือว่าน่าจับตามอง โดยมี เซบาสเตียน โจวินโก้ กองหน้าร่างเล็ก วัย 32 ปี อดีตทีมชาติอิตาลี และยูเวนตุส เป็นกำลังหลัก กับ "ไอ้ปีศาจ" บาเฟติมบี้ โกมิส อดีตกองหน้าสวอนซี ซิตี้
จาง ฮยุุน-โซ กองหลังทีมชาตเกาหลีใต้, อันเดร คาร์ริลโล่ กองกลางทีมชาติเปรู และกุสตาโว่ คูเอลยาร์ กองกลางชาวโคลอมเบีย มีลุ้นได้ชน ฟลาเมงโก้ ทีมเก่าของเขาอีกด้วย หลังจากเพิ่งย้ายมา 7.5 ล้านยูโรเมื่อ 30 สิงหาคมที่ผานมา
๐ ฟลาเมงโก้(แชมป์อเมริกาใต้)
ทีมดังจากนครริโอ เดอ จาไนโร่ ประเทศบราซิล ผงาดคว้าแชมป์ดับเบิ้ลแชมป์ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ 124 ปีของสโมสร ด้วยการครองแชมป์โคปา ลิเบอตาดอเรส คัพ เป็นครั้งแรกในรอบ 38 ปี ก่อนจะได้แชมป์ลูกหนังบราซิล ลีก หรือ Campeonato Brasileiro Série A มาครองได้สำเร็จ หนแรกในรอบ 10 ปี หลังจากเพิ่งได้แชมป์ทวีปอเมริกาใต้ ไม่ถึง 24 ชั่วโมง
ฟลาเมงโก้ ภายใต้การคุมของโค้ช ฆอร์เก้ เฟร์นานโด ปินเฮยโร่ เด เฮซุซ วัย 65 ปี ไม่แพ้ใครมาทุกรายการ 26 นัดรวด มีนักเตะเก๋าประสบการณ์เต็มทีม
นำโดย ดีเอโก้ อัลเวส อดีตโกล์บาเลนเซีย วัย 34 ปี จอมเซฟจุดโทษ เฝ้าเสา โดยมีฟิลิเป้ รุยส์ แบ๊กวัย 34 ปี ที่ย้ายฟรีจากแอตเลติโก มาดริด ปักหลักกับ ราฟินญ่า แบ๊กขวาวัยเดียวกันที่ย้ายมาฟรีจากบาเยิร์น มิวนิค ขณะที่แดนกลาง ดีเอโก้ ริบาส เดอ คูนญ่า วัย 34 ปีเช่นกัน ที่เคยอยู่กับ ปอร์โต้,เบรเมน และยูเวนตุส เป็นกัปตันทีมทำเกมแดนกลาง พร้อมกับ แจร์ซอน อดีตกองกลางโรม่า ช่วยตัดเกมในแดนกลาง ส่วนกองหน้า “กาบีโกล์” กาเบียล บาร์โบซ่า ที่ยืมตัวมาจาก อินเตอร์ มิลาน ปักหลักเป็นหน้าตัวเป้า โดยซัดไปแล้ว 40 ประตูจาก 54 นัด
พวกเขาเคยได้แชมป์รายการชิงแชมป์สโมสรโลก ยุคที่สอง แต่เป็นยุคที่โลกจดจำในชื่อโตโยต้า คัพ เมื่อชนะ ลิเวอร์พูล 3-0 เมื่อปี 1981 ที่โตเกียว นั่นคือศึกอินเตอร์คอนติเนนตัล คัพ
บีแหลมสิงห์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี