ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เลื่อนต่อไปเป็นคำรบที่ 3
บทสรุปฟุตบอลอังกฤษ ยังคงต้อง “เลื่อนการแข่งขัน” ต่อไป เพราะโคโรนาไวรัส หรือ โควิด-19
สมาคมฟุตบอลอังกฤษ หรือ เอฟเอ ประชุมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในเรื่องของระบบฟุตบอลอาชีพ เมื่อวันศุกร์ที่ 3 เมษายนที่ผ่านมา เพื่อหาทางออกเกี่ยวกับโปรแกรมการแข่งขันในซีซั่นนี้ ที่ต้องหยุดการเตะมาตั้งแต่ 13 มีนาคม
การประชุมครั้งนี้เป็นการหารือผ่าน วีดีโอคอนเฟอเรนซ์ ระหว่าง เอฟเอ, พรีเมียร์ลีก, อีเอฟแอล, ลีกฟุตบอลอาชีพหญิง, พีเอฟเอ และ แอลเอ็มเอ เพื่อหาทางออกสำหรับฤดูกาลที่เหลืออยู่ประมาณ 25 เปอร์เซนต์ในซีซั่นนี้ หากเรานับเฉพาะพรีเมียร์ลีก ก็จะมีเกมแมทช์เดย์เตะอีก 92 เกม
บทสรุปเป็นไปตามความคาดหมาย นั่นคือมีการเลื่อนวันแข่งขันออกไปเป็นคำรบที่ 3 หลังจากมติการเลื่อนเตะเกิดขึ้นมาแล้ว 2 ครั้ง
ครั้งแรกจะเตะหลังวันที่ 3 เมษายน 2020 และครั้งที่ 2จะเตะหลังวันที่ 30 เมษายน 2020
สุดท้ายคือเลื่อนไปจนกว่าจะปลอดภัยที่สุด!
l ‘นัย’ที่แฝงเอาไว้จากครั้งที่แล้ว
การประชุมครั้งที่ 2 เมื่อสองสัปดาห์ก่อน มี “นัยสำคัญ” ของแถลงการณ์ ที่ได้ “เปิดช่อง” เอาไว้ค่อนข้างเยอะ
“จะแข่งขันทันทีที่ปลอดภัย และมีความเป็นไปได้” ในย่อหน้าแรก, ต่อด้วย “คณะกรรมการของเอฟเอ ได้ตกลงที่จะขยายเวลาไปเรื่อยๆ ในการเตะซีซั่นนี้” ในย่อหน้าที่ 3 และ “เรายังได้ทำข้อตกลงกันว่า การแข่งขันฟุตบอลฤดูกาล 2019-20 นี้ จะถูกเลื่อนออกไปจนกว่าจะถึงวันที่ 30 เมษายน 2020 นี้ เป็นอย่างน้อย” ในย่อหน้าสุดท้าย
นั่นหมายความว่า การจะกลับมาเตะได้นั้น อยู่ที่การ “ประเมินสถานการณ์” ทั้งหมดอีกครั้ง ไม่ใช่การ “จะกลับมาเตะ”อย่างแน่นอน ตามระยะเวลาที่กำหนดไว้
แล้วทุกอย่างก็เป็นไปแบบเดิม ทุกอย่างต้องปลอดภัยไว้ก่อน
l หั่นค่าเหนื่อยเพื่อพยุงวงการอยู่รอด
เรื่องที่น่าสนใจไม่แพ้กันก็คือ การออกกฎหรือขอความร่วมมือในการขอให้ผู้ที่เกี่ยวข้องของแต่ละสโมสร ช่วยลดค่าจ้าง
ไม่ใช่เพียงแค่เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระสโมสร ได้มีการตีกรอบให้เจรจากันอย่างเป็นทางการ ดีกว่าการพักงานบรรดาลูกจ้างต่างๆ แล้วผลักภาระทางสังคมไปให้กับภาครัฐเพียงฝ่ายเดียว เนื่องจากตอนนี้รัฐบาลต้องจ่ายเงินช่วยเหลือพนักงานชั่วคราวของหลายๆ สโมสรที่ถูกพักงาน เพราะไม่มีฟุตบอลแข่งขัน
สุดท้ายลงตัวที่แต่ละคนจะหักค่าเหนื่อยจากเงินเดือนคนละ 30 เปอร์เซ็นต์
หักแล้วไปไหน................
การหักค่าเหนื่อยในครั้งนี้ก็คือ เพื่อช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากไวรัสครั้งนี้ ผ่านทางสาธารณสุขอังกฤษ เป็นจำนวนเงิน 20 ล้านปอนด์
นำเงินช่วยเหลือฟุตบอลลีก ทั้งระบบอาชีพ และกึ่งสมัครเล่นอีก 125 ล้านปอนด์
เพราะถ้าหากไม่มีการเคลียร์ตรงนี้ออกมา สโมสรต่างๆ กำลังจะพังทลายไปทั้งหมด และเป็นไปได้เช่นกันเนื่องจากแต่ละทีมนั้นไม่ได้มีรายรับใดๆ เลยในช่วงที่ผ่านมา
l ‘เงิน’จะเยียวยาทุกสิ่งทั้งระบบลีก
การหักเงินครั้งนี้ ช่วยนำไปเยียวยาได้อย่างมี “นัยสำคัญ”
การเจริญเติบโตของ พรีเมียร์ลีก คือการวางรากฐานเอาไว้แบบ “เป็นระบบ” ทุกทีมที่อยู่ในลีกจะมีหุ้น และจะได้รับเงินการันตีอย่างน้อยๆ ซีซั่นละ 150 ล้านปอนด์
หากคุณมีลมหายใจในพรีเมียร์ลีก
รายได้สำคัญมาจาก “การถ่ายทอดสด” ซึ่งฟุตบอลอังกฤษยังคงครองใจแฟนบอลทั่วโลก ซึ่งจุดนี้เป็นจุดที่ รูเพิร์ต เมอร์ด็อก ปฏิวัติวงการเอาไว้ตั้งแต่ปี 1992 และกลายเป็น “สมบัติตลอดกาล” ไปแล้ว
การตัดทอนค่าเหนื่อย เงินตรงนี้นั้น ถือเป็นการช่วยเหลือและพยุงระบบลีกเอาไว้ เพื่อเกื้อหนุนกัน แม้ในทุกวันนี้เงินรายได้ต่างๆ แม้แต่ทีมในพรีเมียร์ลีกเองก็ต่างกันเยอะ และลดหลั่นกันไปตามความนิยมของแต่ละสโมสร
ตัวอย่างคือ........สโมสรดังอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับ ลิเวอร์พูล โกยเงินจากการ “สเตเดี้ยม ทัวร์” ต่อรอบต่อหัวคนละเกือบๆ 1,000 บาท ในแต่ละวันจะมีแฟนฟุตบอลและนักท่องเที่ยวเข้าไปเยี่ยมชมโอลด์ แทรฟฟอร์ด และแอนฟิลด์ นับพันคน นี่คือสิ่งที่ทีมโกยเอาไว้เป็นทุน
ทริปทัวร์ต่างๆ เลือกทั้งสองแห่งนี้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวจากคนทุกมุมโลก ทำให้การเงินของสองทีมนี้ดีมากๆ ไม่ว่าฟอร์มการเล่นของทีมในตอนนั้นจะเป็นอย่างไร ไม่ค่อยมีใครสนใจ เพราะคิดอย่างเดียวว่า ครั้งหนึ่งในชีวิต
อยากจะมาที่นี่
มันเกิดจากการปลูกฝัง “วัฒนธรรมฟุตบอล” แบบฝังรากลึกไปแล้ว ชนิดที่ว่า ทำอะไรออกมาขาย ก็ขายได้ทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม หลายๆ สโมสรไม่ได้เป็นแบบนั้น เกินครึ่งของพรีเมียร์ลีก แต่ละทีมก็ไม่ได้มีสเตเดี้ยม ทัวร์ หนาแน่น และก็ไม่ได้มีทุกวัน จะจัดคิวเป็นรอบๆ ไป
ดังนั้นการถ่ายทอดสดจึงเป็นหัวใจสำคัญสุดๆ และเป็นส่วนหนึ่งที่เชื่อว่า “ที่ประชุม” คงไม่ต้องคิดอะไรมากถึงเรื่อง “ยุติการแข่งขัน” ตอนนี้รออย่างเดียวนั่นคือ “ประเมินสถานการณ์” เพื่อให้กลับมาลงสนามได้อีก 92 เกมที่เหลือ
ต่อให้ปิดสนามเตะก็ต้องทำ!
l เจาะรายละเอียด-ท็อปสายเปย์บอลผู้ดี
ในบรรดาลีกระดับท็อป 5 ของยุโรป นับ 20 ทีมแรก ที่จ่ายค่าเหนื่อยมากที่สุดนั้น เป็นทีมจากอังกฤษ ถึง 9 ทีมด้วยกัน
หนึ่งในนั้นมีชื่อของ “อินทรีผงาด” คริสตัล พาเลซ รวมอยู่ด้วย!!!
นี่คือสิ่งที่ตอกย้ำว่า บอลอังกฤษ ต่างเดินไปพร้อมกัน
เมื่อลงรายละเอียดลงไปเกี่ยวกับ “ค่าเหนื่อยนักบอล” น่าสนใจคือ ลิเวอร์พูล ที่ไม่ได้ให้เงินใครแบบโด่งๆ สุดโต่ง แต่จะใช้การ“ถัวเฉลี่ย” ได้เงินในระดับที่ใกล้เคียงกัน ดังนัั้นเฉลี่ยออกมานี่ระดับถึง 100,000 ปอนด์
ผิดกับ แมนฯซิตี้ กับ แมนยูฯ ที่จะให้คนไหนสูงก็รับไปเลย คนไหนต่ำก็ต่ำเลย
เรียงลำดับทีมที่จ่ายค่าเหนื่อยมากสุดท็อป 5 พรีเมียร์ลีก ต่อปีประกอบด้วย 1.แมนฯยูไนเต็ด 332 ล้านปอนด์, 2.ลิเวอร์พูล 264 ล้านปอนด์, 3.แมนฯซิตี้ 260 ล้านปอนด์, 4.เชลซี 244 ล้านปอนด์และ 5.อาร์เซนอล 223 ล้านปอนด์
หากนับค่าเหนื่อยแบบ “เต็มระบบ” ทั้งออปชั่นอะไรต่างๆนั้น แมนฯยูไนเต็ด มีตัวท็อปที่ต้องจ่ายแบบไม่รวมดีลบ้าๆ บอๆ กับ อเล็กซิส ซานเชซ ที่ต้องจ่ายแบบฟูลแพ็กเกจเกือบ 5 แสนปอนด์ต่อสัปดาห์
ตอนนี้รายได้เบอร์แรกๆ ต่อสัปดาห์ของแข้งผี คือ ดาบิดเด เคอา 375,000 ปอนด์ ตามด้วย ปอล ป๊อกบา 290,000 ปอนด์, อองโตนี่ย์ มาร์กซิยาล 250,000 ปอนด์, มาร์คัส แรชฟอร์ด 200,000 ปอนด์ และแฮร์รี่ แม็คไกวร์ 189,904 ปอนด์
พวกนี้จะถูกหั่นลงแน่นอนคนละ 30 เปอร์เซ็นต์
ทีมที่จ่ายค่าเหนื่อยน้อยที่สุดของพรีเมียร์ลีก 3 ทีม ไม่แปลกที่เป็นน้องใหม่ทั้งหมด
แอสตัน วิลล่า 23.8 ล้านปอนด์, นอริช ซิตี้ 13.8 ล้านปอนด์และเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด 13.1 ล้านปอนด์
ดังนั้นหากไม่ตกชั้นสักปี ค่าเงินเหล่านี้จะทะยานขึ้นอีกเยอะทีเดียว
ขนาดเพิ่งกลับขึ้นชั้นมา เชฟฯยูไนเต็ล ยังกล้าจ่ายให้ ฟิลยากิลก้า 50,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ นั่นเพราะไม่เสียค่าตัวในการดึงกลับจาก เอฟเวอร์ตัน
แต่ในทางกลับกัน ติมู ปุ๊กกี้ รับค่าเหนื่อยแค่ไม่ถึงหมื่นปอนด์ทั้งที่ยิงจนตีนบวมพา นอริช ขึ้นชั้นมา!!!
........ถึงตรงนี้ ซีซั่นไม่โมฆะตามใจคนเห็นแก่ตัว แต่จะรอต่อไปจนกว่าจะพร้อมกลับมาหวดได้
ยังไม่รู้จริงๆ ว่า เมื่อไหร่
แต่แฟนบอลมีหน้าที่คือ....รอต่ออย่างอดทน!!!
บี แหลมสิงห์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี