เราจะได้ดูฟุตบอลอีกนานแค่ไหนในยุคนี้
คำนี้เริ่มกลับมาสะกิดความรู้สึกของหลายคนอีกครั้งหลังจากมีท่าทีที่ว่า ยุโรป จะกลับมามีการระบาดของไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือ โควิด-19 ระลอกสอง
มันส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วน และเริ่มแรงขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่กลางสัปดาห์ที่ผ่านมา
14 ตุลาคม มีการแจ้งเตือนระดับที่ 3 เริ่มมีผลบังคับใช้ในอังกฤษโดยมีผู้คนหลายล้านคนที่ต้องเผชิญกับอุปสรรคในการดำรงชีวิตมากขึ้นกว่าเดิม
BBC รายงานว่า แผนก Intensive care units (ICU)ที่โรงพยาบาลต่างๆ ในเมืองลิเวอร์พูล มีผู้เข้าการรักษาแล้วถึง 90%
......มร.พอล บรันท์ สมาชิกคณะรัฐมนตรีด้านสุขภาพผู้ใหญ่และการดูแลทางสังคมของเมืองลิเวอร์พูล ให้สัมภาษณ์ผ่านทาง BBC Radio 4 ว่า เตียงผู้ป่วยหนักตอนนี้แต่ละแห่งเต็มเร็วมาก และอาจจะไม่เพียงพอกับปริมาณของผู้ป่วยที่มาจากการระบาดระลอกสอง
“ตัวเลขล่าสุดที่ผมเห็น ระบุชัดเจนว่ามีมากกว่า 90% และมีอัตราการเพิ่มขึ้นในปัจจุบันทำให้เราคาดว่า ลิเวอร์พูล จะมีผู้ป่วยเหมือนกับครั้งที่เกิดการระบาดระลอกแรก ภายในไม่เกิน 7-10 วันข้างหน้า”
“ไม่เพียงแต่เราต้องรับคนไข้โควิด แต่โรคอื่นๆ ก็ต้องรับมือด้วยเช่นกัน เพียงต่สถานการณ์ระบาดระลอกสอง จะมีผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาที่ต้องการการดูแลเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นเราคงต้องหาวิธีการเพิ่มบุคลากรเพื่อดูแลผู้ป่วยในอนาคตอันใกล้นี้”
........อย่างไรก็ตาม ผู้สันทัดกรณีระบุว่า การตัดสินใจของรัฐบาลอังกฤษ มีความผิดพลาดบ่อยครั้ง ทำให้ไม่สามารถจำกัดปริมาณของผู้ป่วย และควรจะระบุการล็อกดาวน์ แยกส่วนต่างๆ เนื่องจากการระบาดแต่ละที่ไม่เหมือนกัน
ตลอด 7 วันที่ผ่านมา พื้นที่ต่างๆ มีการติดเชื้อไม่เท่ากัน เอสเซ็กซ์ เพิ่มขึ้น 82%, คอร์นวอลล์ 16.2%, ซัมเมอร์เซต 39% เป็นต้น
การระบาดระลอกสองในอังกฤษ ทำให้ สมาคมฟุตบอลนิวซีแลนด์ หรือ New Zealand Football (NZF) ตัดสินใจยกเลิกการแข่งขันไปแล้ว หลังจากโปรแกรมอุ่นแข้งจะมีขึ้นในวันที่12 พฤศจิกายนที่จะถึงนี้ทันที
บอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เขาไม่ต้องการเห็นประเทศนี้ถูกปิดลงอย่างต่อเนื่อง ไม่ควรจะปิดอีกแล้ว แต่.......
ทั่วสหราชอาณาจักรจะทำให้มีคนเสียชีวิตมากขึ้น ทำให้การบริหารจัดการอาจจะต้องเข้า “แทรกแซง” ตามที่ต่างๆ และจะต้องเข้มงวดมากยิ่งขึ้นกับมหานครใหญ่ๆ อย่าง แมนเชสเตอร์ พร้อมกับเรียกร้องให้ แอนดี เบิร์นแฮม นายกเทศมนตรีเมืองแมนเชสเตอร์ ควรที่จะ “มีส่วนร่วมอย่างสร้างสรรค์” กับรัฐบาล
การใช้มาตรการเทียร์-3 ครอบคลุมถึง การห้ามสังสรรค์ในเคหะสถานกับแขกที่มาเยี่ยมเยือน หรือสวนส่วนบุคคล ตามคำแนะนำของทีมนักวิทยาศาสตร์ทำงานเฉพาะกิจ “ศูนย์ความปลอดภัยทางชีวภาพร่วม Gold Command” ที่จะส่งผลให้ผับ บาร์ต้องปิดให้บริการ
ซึ่ง แมนเชสเตอร์ เกิดอาการ “แข็งเมือง” ไม่ยอมรับมาตรการดังกล่าวนี้ จนเป็นข่าวดังไปทั่วโลก แถมยังมี “งูเห่า” ในพรรคของ จอห์นสัน ที่พลิกกลับมาเข้าทางฝั่งของ เบิร์นแฮม
ต้นเดือนที่ผ่านมา เบิร์นแฮม ได้ออกมาตำหนิมาตรการของทางการอังกฤษ ว่าไม่สมเหตุสมผล โดยเฉพาะคำสั่งให้ประกาศใช้มาตรการต่างๆ ใน 2 เมืองที่มีตัวเลขผู้ป่วยติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่เมืองใกล้เคียงก็ต้องใช้มาตรการเดียวกันด้วยทั้งๆ ที่มีผู้ป่วยติดเชื้อน้อยกว่ามาก และระบุเหตุผลว่า รัฐบาลไม่มีคำอธิบายที่ชัดเจนให้ประชาชน และนั่นก็ทำให้มาตรการเหล่านี้ไม่สมเหตุสมผลอย่างยิ่ง
ในทางเดียวกัน นักระบาดวิทยาสาธารณสุขอังกฤษดร. ซูซาน ฮอปกินส์ เรียกร้องให้ผู้คนรักษาระยะห่างทางสังคมให้มากกว่านี้ เพราะระลอกสองอาจจะหนักกว่าระลอกแรกก็เป็นได้
ข้อมูลจากอังกฤษ สอดคล้องกับข้อมูลภาคพื้นยุโรป ที่ตอนนี้แต่ละประเทศกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่วิกฤติอีกครั้ง
เยอรมนีพบผู้ติดเชื้อถึง 5,132 ราย เมื่อวันอังคารที่ผ่านมาเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนเมษายน ที่ตัวเลขสูงถึงขั้นนี้ และมี43 รายเสียชีวิต ก่อนที่ยอดดังกล่าวจะถูกทุบสถิติในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ที่มีผู้ติดเชื้อถึง 7,058 ราย
ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ของฝรั่งเศส ออกประกาศทางสถานีโทรทัศน์แห่งชาติ เมื่อวันพุธ และประกาศเคอร์ฟิว ตามแผนสำหรับเมืองที่มีอัตราการติดเชื้อสูงสุดอย่าง กรุงปารีส
สถานการณ์ในรัสเซียยังคง “ตึงเครียดมาก” จากการเปิดเผยของ มิคาอิล มูราชโก้ รัฐมนตรีสาธารณสุขของประเทศ เนื่องจากหลายคนไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ด้านความปลอดภัย ตอนนี้แดนหมีขาวมีผู้ป่วยมากกว่า 1.3 ล้านราย และเสียชีวิตมากกว่า 22,000 ศพ ตามข้อมูลของมหาวิทยาลัยจอห์นฮอปกินส์ และมีการติดเชื้อวันเดียวถึง 15,150 คน สูงที่สุดตั้งแต่เกิดการระบาดเมื่อวันพฤหัสบดี
น่าสนใจก็คือ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา มีการระบาดขั้นรุนแรงและเป็นสถิติใหม่ของหลายๆ ประเทศ
เบลเยียม ประกาศว่า ยอดติดเชื้อสูงที่สุดของประเทศเท่าที่มีการระบาดคือ 10,448 ราย
เนเธอร์แลนด์ ประสบกับเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดครั้งหนึ่งและกำหนดให้มีการปิดกั้นพื้นที่บางส่วนเป็นเวลาอย่างน้อยหนึ่งเดือน หลังจากมีผู้ติดเชื้อวันเดียว 7,997 ราย
รัฐบาลสาธารณรัฐเช็ก ได้ประกาศปิดโรงเรียน, บาร์ และคลับต่างๆ เป็นเวลา 3 สัปดาห์ไปตั้งแต่วันพุธ แต่ในวันศุกร์ยอดพุ่งสูงสุดถึง 9,721 ราย โดยเฉพาะในกรุงปราก ยอดผู้ติดเชื้อ 2 สัปดาห์ล่าสุดเพิ่มขึ้นถึง 160% และเดือนเดียวยอดพุ่งถึง 778%
ไอร์แลนด์เหนือ ได้ทำการปิดโรงเรียนเป็นเวลาสองสัปดาห์รวมถึง ผับ และภัตตาคาร ปิดให้บริการ 4 สัปดาห์
โปแลนด์ ติดเชื้อวันเดียว 7,705 ราย และเสียชีวิตเป็นสถิติในวันเดียว 132 ศพ
หนักไม่แพ้ที่อื่นก็คือ อิตาลี ชาติแรกของยุโรปที่มีการระบาด กลับมามีคนติดเชื้อในวันเดียวถึง 10,010 ราย
เมื่อเราลองมาดูผู้ป่วยรายใหม่ของสหราชอาณาจักรมีจำนวนถึง 362,000 รายในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา
เมื่อเป็นแบบนี้ “ใคร” จะกล้าการันตีได้ว่า กีฬาจะแข่งขันต่อได้ โดยเฉพาะกีฬามหาชนอย่าง “ฟุตบอล” จะแข่งขันกันต่อได้หรือไม่
ฟุตบอลยุโรปกำลังจะดวลแข้งกันในกลางสัปดาห์นี้เป็นนัดแรก จะเตะได้หรือเปล่า
ถ้าไปต่อไม่ได้ จะยิ่งยับเยินกันไปอีกกับทุกสโมสร และระบบพีระมิดของทุกๆ ประเทศ
ข้อมูลที่น่าสนใจก็คือ สโมสรฟุตบอลในยุโรปอาจสูญเสียรายได้ประมาณ 5.2-6.3 พันล้านยูโร เนื่องจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
ไม่ใช่ใครก็ได้ที่มาพูด แต่ข้อมูลนี้มาจาก อันเดรีย แองเนลลี่ประธานสมาคมสโมสรยุโรป
การเงินของสโมสรฟุตบอลทั่วภูมิภาคจะขาดสภาพคล่องไปเรื่อยๆ เนื่องจากหน่วยงานฉุกเฉินด้านสุขภาพของแต่ละประเทศ บังคับให้ระงับการแข่งขัน หรือ จำกัดจำนวนผู้ชมที่เข้ามาดูเกมในสนาม
แองเนลลี่ ระบุว่า การไม่มีแฟนบอลถือว่าแย่อยู่แล้ว แต่ถ้าหากไม่มีการแข่งขันยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ ทำให้องค์กรของเรา กำลังคิดหาทางช่วยเหลือเรื่องดังกล่าวนี้ แต่มันเป็นผลกระทบจากวงกว้าง และจากการประเมินออกมานั้น เราจะไม่สามารถเข้าถึงรายการบางอย่างในบัญชีเศรษฐกิจของวงการฟุตบอลได้ทั้งหมด
“นี่คือช่วงเวลาที่สุ่มเสี่ยงที่สุดของวงการฟุตบอลก็ว่าได้” แองเนลลี่ ที่ดำรงตำแหน่งประธานของ “ม้าลาย” ยูเวนตุสยักษ์ใหญ่อิตาลี ได้กล่าวกับที่ประชุมผู้ถือหุ้นของสโมสรกัลโช่เซเรียอา เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา
“ข้อมูลทั้งหมดนั้น เราจะสามารถประเมินผลกระทบของสถานการณ์นี้ได้อย่างครบถ้วนในฤดูใบไม้ร่วงปีหน้า ตอนนี้เราภาวนาว่า ฟุตบอลจะดำเนินต่อไปได้”
การคาดการณ์การสูญเสียเงินรายได้นี้ ได้รวมถึงการสูญเสียทุกสิ่งอย่างทั้งองคาพยพ พร้อมกับจะส่งผลกระทบต่อข้อตกลงทางการค้าระยะกลางถึงระยะยาว ยิ่งไปกว่านั้นสัญญาลิขสิทธิ์ทางโทรทัศน์ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเจรจากันใหม่ทั้งหมดด้วย
ว่ากันว่า ฟุตบอลไม่มีวันตาย และฟุตบอลคือกีฬาที่สร้างมูลค่าได้มากที่สุดในโลก
วันนี้ฟุตบอลไม่แน่เหมือนกันว่าจะได้ไปต่อหรือไม่ แม้ว่าจะมีระบบการบริหารจัดการ และการรับมือที่เป็นขั้นเป็นตอนหลังจากต้องล็อกดาวน์ไปพร้อมๆ กันทุกอย่างนานกว่า 3 เดือนเมื่อกลางปี
ติดเชื้อก็ไปกักตัว ที่เหลือก็เตะกันต่อ แต่ถ้าติดกันยกทีมแล้วจะทำอย่างไร
ปีนี้ทีมที่ได้แชมป์ อาจไม่ใช่ทีมที่เก่งที่สุด
แต่อาจเป็นทีมที่มีผู้ติดเชื้อน้อยที่สุดหรือเปล่า
มันดูเหมือนกับสถานการณ์หลายๆ อย่างรอบตัวเราในยุคโควิด-19
ไม่รู้ว่าอะไร เมื่อไหร่ วันไหน.....จะไปก่อนกัน!!!!
บี แหลมสิงห์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี