ลาก่อน‘มาราโดน่า’…ส่งหัตถ์พระเจ้า คืนสู่อ้อมกอดพระเจ้า
เขาเป็นนักฟุตบอลที่ดีที่สุดตั้งแต่โลกใบนี้เคยมีมา.........
แต่ถ้าบอกว่า นี่คือนักบอลที่ “ครบเครื่องต้มยำที่สุด” ขอยกให้เค้าล่ะ
ดีโก้ หรือ ดีเอโก้ อาร์มานโด้ มาราโดน่า แห่งอาร์เจนติน่า
เสือเตี้ยมหัศจรรย์แห่งวงการลูกหนังอาร์เจนติน่า และจักรวาลฟุตบอล
ในปี 1978 “ฟ้าขาว” ได้สิทธิ์การเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน เซซ่าร์ หลุยส์ เมน็อตติ กุนซือสิงห์อมควันของทีม ตัดสินใจครั้งสำคัญด้วยการที่”ไม่เลือก” ดีเอโก้ มาราโดน่า ดาวรุ่งที่ดังที่สุดแห่งยุคนั้นติดทีม แต่ไว้วางใจ มาริโอ เคมเปส, ดาเนี่ยล พาสซาเรลล่า, อูบัลโด้ ฟิลลอล และออสวัลโด้ อาร์ดิเลส เป็นแกนนำ
สุดท้ายเป็นแชมป์ได้สำเร็จเป็นสมัยแรก ด้วยการหักคอ “ฟลายอิ้งดัทช์แมน” เนเธอร์แลนด์ ในช่วงต่อเวลา 3-1
เรียกว่า ดังตั้งแต่ยังไม่ได้ไปบอลโลก
จากนั้นพวกเขาไม่ประสบความสำเร็จในบอลโลก ปี 1982 เมื่อตกรอบ 2 แต่ก็มาได้แชมป์โลกสมัยที่ 2 ในอีก 4 ปีต่อมา ที่ประเทศเม็กซิโก ภายใต้การนำทัพของ คาร์ลอส บิลาร์โด้ โดยมีขุนพลเอกที่ชื่อ ดีเอโก้ มาราโดน่า
มาราโดน่า ที่โดนไล่เตะกลิ้งเป็นลูกขนุนในบอลโลก ปี 82 แต่ในปี 1986 มาราโดน่า แข็งแกร่งเหนือดุจเทวดา ด้วยสไตล์ “ขวาไว้ยืน ซ้ายไว้ยิง”
เป็นนักบอลที่ก้าวไปถึงขั้นที่ว่า เลือกได้ว่าจะไปต่อ
หรือว่าจะนอนกลิ้งเอาฟาวล์
เขานำทัพเป็นแชมป์ได้อย่างยิ่งใหญ่ ด้วยการพิชิต เยอรมันตะวันตก 3-2
พร้อมกับทำประตูที่ “โกงที่สุด” และ”สวยที่สุด” ห่างกันเพียงแค่ไม่ถึง 5 นาที ในเกมรอบ 8 ทีมสุดท้ายกับ อังกฤษ ยิ่งทำให้แรงแค้นจากเรื่องสงครามฟอล์คแลนด์ ยิ่งเปิดแผล ยิ่งแรงขึ้นไปอีก
ประตูปัญหา เป็นที่มาของบัญญัติคำบันลือโลกว่า “แฮนด์ ออฟ ก๊อด” เกิดขึ้นในนาทีที่ 51 มาราโดน่า ใช้มือปัดบอลผ่าน ปีเตอร์ ชิลตัน โกล์อังกฤษ เข้าประตู แบบเห็นกันทั้งโลกยกเว้นกรรมการกับไลน์แมน
ให้หลังจากนั้น 4 นาที มาราโดน่า ทำให้ทุกคนต้องตะลึงเมื่อเลี้ยงเดี่ยวกว่าครึ่งสนามหลบผู้เล่นอังกฤษครึ่งทีมเข้าไปยิงประตู ก่อน อาร์เจนตินา ชนะ 2-1 และคว้าแชมป์โลกในบั้นปลาย
มาราโดน่า บอกว่า เขาไม่ได้ใช้มือปัด แต่เป็น “หัตถ์ของพระเจ้า”
มันคือตำนานที่ยิ่งยงมาถึงวันนี้และจะเป็นตลอดไป
จากนั้นอีก 4 ปีต่อมา มาราโดน่า ที่มีอาการบาดเจ็บทั้งตัว เล่นดีนัดเสียนัดก็จะแบกทีมเข้าถึงนัดชิงได้สำเร็จ แต่คราวนี้มาโดนทีเด็ดของ เยอรมันตะวันตก เอาคืนทำให้ต้องพ่ายไป 0-1 ชวดแชมป์โลก
แต่เส้นทางปีนั้นพวกเขาคว่ำสองตัวเต็งอย่าง บราซิล คู่ปรับตลอดกาล และอิตาลี เต็งจ๋าเจ้าภาพ เพราะ มาราโดน่า เป็นคนผ่านบอลให้ คานิกเกีย พังประตู
ปี 1994 มาราโดน่า นำทีมกำชัยได้ในสองเกมแรก แต่ถูกอัปเปหิออกจากการแข่งขัน เนื่องจากใช้สารกระตุ้น จากนั้นทีมก็ตกรอบ 2
ต่อด้วยปี 1998 ก็ตกรอบ 8 ทีม หนักสุดก็คือ ปี 2002 มาในฐานะเต็ง 1 แต่ตกรอบแรก
ในบอลโลก ปี 2006 ก็แพ้จุดโทษให้กับ เยอรมนี ตกรอบ 8 ทีมสุดท้าย และในบอลโลกหนล่าสุดที่แอฟริกาใต้ อุตส่าห์ไปดึงเอา มาราโดน่า มาคุมทัพ แต่ก็ต้องแพ้ให้กับ เยอรมนี อีกครั้งในรอบ 8 ทีมเช่นกัน แต่เป็นการแพ้ยับเยินถึง 0-4
ที่สำคัญ มาราโดน่า ทำ “แฮนด์ออฟก๊อด” ในบอลโลกรวม 2 ครั้ง
ครั้งแรกที่เขียนไปคือ ทุบเสียบตาข่ายทีมชาติอังกฤษ ปี 1986
ครั้งที่ 2 สกัดจากเส้น ไม่ทำให้ทีมเสียประตู ในเกมกับ สหภาพโซเวียต ปี 1990
ที่น่าสนใจก็คือ ทั้งสองครั้งการใช้มือสุดมหัศจรรย์พันลึกของ มาราโดน่า คนแทบจะทั้งโลกมองเห็น
มีแค่กรรมการเท่านั้นแหล่ะที่มองไม่เห็น!!
ไม่เพียงแต่ในทีมชาติเท่านั้น ในระดับสโมสร มาราโดน่า ก็ประสบความสำเร็จอย่างเหลือเชื่อ กับสโมสรที่แทบจะไม่มีใครรู้จักอย่าง นาโปลี
มีหลายคำถามและหลายท่านถามว่า ทำไม มาราโดน่า ถึงเลือกย้ายมา นาโปลี
นาโปลี ในตอนนั้นไม่มีในแผนที่ของฟุตบอล แต่ มาราโดน่า ที่เป็นแชมป์โลกมาหมาด ๆ คิดได้ยังไง และคิดอะไรอยู่ในการมาที่เนเปิลส์ ถิ่นและดินแดนแห่งมาเฟีย
นูนเยซ ครองตำแหน่งยาวนาน 1978-2000 ถือว่าเป็นคนที่ทำงานยาวที่สุดให้กับสโมสร ด้วยการกวาดแชมป์ลาลีกา 7 สมัย, โคปา เดอ เรย์ 6 สมัย, และสำคัญอย่างที่สุดก็คือการได้แชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ สมัยแรก ในปี 1992 พร้อมกับซิวคัพ วินเนอร์สคัพ 4 ครั้ง
ไรนุส มิเชลส์ ท่านนายพลคนแรกแห่งวงการฟุตบอล อำลาทีมไปเมื่อ พฤษภาคม 1978 นูนเยซ เข้ามารับงานบริหาร จากนั้นทุกอย่างมันก็ดำเนินไปอย่างดุเด็ดเผ็ดมัน
ปัญหาเกิดจากการระหองระแหงกันมาตลอดระหว่าง มาราโดน่า กับ โจเซ็ป หลุยส์ นูนเยซ ประธานสโมสรบาร์เซโลน่า มันเป็น”ประเด็นต่อเนื่อง” ที่เรื้อรังคาราคาซังของผู้บริหาร, ผู้จัดการทีม และ นักฟุตบอล
นูนเยซ อยู่ในตำแหน่ง 22 ปี ใช้ผู้จัดการทีมไปถึง 12 คนด้วยกัน
มาราโดน่า ถูกซื้อมาในปี 1982 ในยุคของ “เสือยิ้มยาก” อูโด ลัคเท็ค กุนซือชาวเยอรมนี และย้ายออกจากทีมไป นาโปลี เมื่อ 5 กรกฎาคม 1984 หลังจาก เซซาร์ หลุยส์ เมน็อตติ ผู้ที่มีบุญคุณกับ มาราโดน่า โดนปลดออกจากกุนซือบาร์ซ่า ไม่กี่วัน
มาราโดน่า ดูเหมือนว่า จะอยู่ไม่ได้ เนื่องมาจากว่า เขามีอาการบาดเจ็บทั้งในและนอกสนาม เนื่องจากวินัยในการดูแลตัวเองไม่ดีพอ
เขามีปัญหาอาการบาดเจ็บในร่างกาย และไม่สามารถดูแลเงินในบัญชีตัวเองได้ ก่อนจะมีเรื่องในเกมที่นักบอลไล่กระทืบกันระหว่าง บาร์ซ่า กับ บิลเบา ในนัดชิงโคปาเดลเรย์ ทำให้จำเป็นต้องย้ายออกไปจากทีมเพราะสารพัดปัญหามากองอยู่ตรงหน้า
ปัญหาเยอะ แต่เรื่องหลักคือ นูนเยซ แม้ว่า แบรนด์ ชูสเตอร์ ขบถลูกหนังชาวเยอรมนี ที่อยู่คัมป์นู ก่อน มาราโดน่า ถึงสองปี จะบอกว่า ลัคเท็ค ซื้อ มาราโดน่า มาเป็นตัวปัญหาแท้ ๆ
“แต่ปัญหาที่แท้จริงคือ ประธานสโมสรนี่แหละ”
หนังสือมาราโดน่า ระบุเอาไว้ว่า ตอนนั้น สโมสรไม่อยากขาย และให้สิทธิ์กับ มาราโดน่า สามารถกรอกค่าเหนื่อยได้ตามอำเภอ-ตำบลใจ แต่ มาราโดน่า ตกอยู่ในสถานการณ์ที่”ต้องไป”สถานเดียว
แล้วก็มีแค่ นาโปลี ทีมเดียวเท่านั้น ที่ยื่นข้อเสนอเข้ามาอย่างเป็นกิจจะลักษณะ
ยังไม่ทันได้พิจารณาอะไร มาราโดน่า เลิกคิ้วสงสัยว่า นาโปลี ที่นี่ที่ไหน และพอเห็นคำว่า “อิตาลี” เขายอมรับว่า ไม่เคยคิดจะไปที่นั่นมาก่อน
ย้อนกลับไปอีก สมัยที่เขาเป็นยอดไอ้แอ้ด เล่นกับ อาร์เจนติโนส จูเนียร์ เมื่อปี 1979 ปรากฏว่า นาโปลี ก็เคยมีข้อเสนอยื่นเข้าไปให้เช่นกัน
อายุยังไม่เต็ม 24 ปี มาราโดน่า ไปอยู่กับ นาโปลี และสร้างความยิ่งใหญ่ พร้อมปักหมุดบนแผนที่ลูกหนังโลกร่วมกัน
สรุปคือมาราโดน่าไม่ใช่ว่าเลือกนาโปลี แต่เพลานั้นมีแค่ นาโปลีทีมเดียวเท่านั้นที่เป็นตัวเลือก
มันคือ “วาสนา” ของทั้งสองฝ่าย
มันคือ “วาสนา” แห่งวงการฟุตบอลตลอดกาล............
บี แหลมสิงห์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี