ประเด็นเรื่อง “ซูเปอร์ลีก” ชิงพื้นที่ต่างๆ ในวงการกีฬาโลกหลังจากมีการประกาศอย่างเป็นทางการถึงแนวทางที่ “เจนจัดชัดเจน”
หลังจากมีทั้งแนวคิดโน่นนั่นนี่หลุดออกมา ภาพหลุดที่ปรากฏมากว่า 4 ปี สุดท้ายจากที่เคย “โยนหินถามทาง” มาหลายครั้ง
หนนี้คือ “ปาหลังคาบ้าน” กันไปเลย
12 สโมสรหงายการ์ดออกมาแล้ว ประกอบด้วย จากอังกฤษ6 ทีม คือ อาร์เซนอล, เชลซี, ลิเวอร์พูล, แมนเชสเตอร์ ซิตี้,แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์, จากสเปน 3 ทีมคือ เรอัล มาดริด, บาร์เซโลน่า และ แอตเลติโก้ มาดริด จากอิตาลี อีก 3 ทีม อินเตอร์ มิลาน, เอซี มิลาน และ ยูเวนตุส ได้ออกแถลงการณ์ร่วมกันในการเปิดตัวศึก ซูเปอร์ ลีก อย่างเป็นทางการ หรือ European Super League Company, S.L.
ซูเปอร์ ลีก คาดหวังจะจัดแข่งฤดูกาลละ 20 ทีม โดยมี 15 สโมสรผู้ร่วมก่อตั้งในการยืนพื้น บวกกับอีก 5 สโมสรจากการคัดเลือกในปีนั้น ๆ แต่ยังไม่บอกว่าอีก 3 ทีมที่ร่วมก่อตั้งคือใคร ทำให้หลายคนเดาไปต่างๆ นานา ทั้ง บาเยิร์น มิวนิค แห่งเยอรมนี, เอฟซี ปอร์โต้ จากโปรตุเกส และปารีส แซงต์ แชร์กแมง จากฝรั่งเศส
ฟุตบอลยังคงมีแผนการในการเดินหน้าต่อไป และยังมีแนวคิดอยู่ตลอดเวลาว่า จะต้องขยายกิจกรรมให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
อย่างไรก็ตาม การขยับเขยื้อนเคลื่อนกายกันแต่ละครั้ง ย่อมสั่นสะเทือน และมีแนวคิดที่ล้ำลึก แอบแฝงอะไรหลายสิ่งหลายอย่าง
โดยเฉพาะคำว่า “ผลประโยชน์”
ขุมทรัพย์มหาศาลกับลูกกลมๆ มีลมอยู่ข้างใน ไม่เพียงแต่องค์กรลูกหนังระดับยักษ์ใหญ่อย่าง สหพันธ์ฟุตบอลยุโรป หรือยูฟ่า ที่เป็นผู้ดูแลทีมเหล่านี้โดยตรง และ สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือ ฟีฟ่า ก็มีแนวคิดในการสร้างลีกฟุตบอลกันมาแล้วทั้งนั้น
l ตำนานโหด “G-14” ก่อนจบแบบไม่สวย
ยูฟ่า โดนท้าทายจนต้องปรับโฉมการแข่งขันฟุตบอลถ้วยบิ๊กเอียร์ อย่าง ยูโรเปี้ยน คัพ มาเป็น ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ในซีซั่น 1992-93 นับเป็นการ “ปฏิวัติโครงสร้าง” ใหม่ทั้งหมด ไม่ใช่เอาแค่แชมป์มาเตะ แต่เอารองแชมป์ และทีมอันดับรองลงมาเข้าร่วมดวลแข้งด้วย
หลังจากจบนัดชิงปี 1998 แนวคิดตั้งลีกใหม่เริ่มมีการพูดคุยกัน เริ่มเป็นรูปเป็นร่างและทำท่าจะเกิดขึ้นจริงในการจัดตั้งกลุ่ม G-14
Italian company Media Partners เป็นผู้เปิดเผยแผนนี้เมื่อปี 1998 ซึ่งแผนนี้คิดก่อนจะเกิดกลุ่มลูกหนังในตำนาน
G-14 มีสมาชิกกระจายอยู่ 7 ประเทศ ประกอบด้วยแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับ ลิเวอร์พูล จากอังกฤษ, เรอัล มาดริด กับ บาร์เซโลน่า จากสเปน, เอซี มิลาน, ยูเวนตุส และอินเตอร์มิลาน จากอิตาลี, โอลิมปิก มาร์กเซย กับ ปารีส แซงต์-แชร์กแมงจากฝรั่งเศส, บาเยิร์น มิวนิค กับ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ จากเยอรมนี, อาแจ๊กซ์ อัมสเตอร์ดัม กับ พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น จากเนเธอร์แลนด์ และเอฟซี ปอร์โต้ จากโปรตุเกส
นี่คือสมาชิกยุคเริ่มต้น ในปี 2000
อีกสองปีต่อมา มีสมาชิกมาเพิ่มอีก 4 สโมสร นั่นคือ อาร์เซนอล จากอังกฤษ, ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น จากเยอรมนี,บาเลนเซีย จากสเปน และโอลิมปิก ลียง จากฝรั่งเศส
เป้าประสงค์ที่แท้จริงนั้น แทบจะไม่ได้คิดเรื่องการแยกตัวออกมาแข่ง แต่ต้องการเรียกผลประโยชน์มากขึ้นกว่าเดิม
แต่ ยูฟ่า งัดหมากเด็ดด้วยการาประกาศยกเลิก “คัพวินเนอร์ส คัพ” เพื่อรองรับสโมสรต่างๆ ให้ขึ้นมาเล่นระดับ “แชมเปี้ยนส์ลีก” ทำให้แผนงานของกลุ่ม G-14 ต้องหยุดชะงัก เมื่อเจอหมัดน็อกในครั้งนี้
กลุ่มนี้มีความชัดเจนว่า สร้างขึ้นเพื่อเพิ่มผลประโยชน์และมีอำนาจในการต่อรองให้ทีมชั้นนำของยุโรป
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ค่าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์จาก ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก และการเรียกร้องเงินชดเชยจากการที่นักเตะได้รับบาดเจ็บมาจากการรับใช้ชาติ
หลังจากก่อตั้งมาถึง 8 ปี ก็ยังไม่มีการเจรจาอะไรจาก G-14 กับทั้ง ฟีฟ่า และยูฟ่า แถมยังมีการจัดตั้งสมาคมสโมสรฟุตบอลยุโรป หรือ The European Club Association (ECA) ขึ้นมา
เท่ากับเป็น “องค์กร” ที่ “ซ้อนองค์กร” ของฟุตบอลยุโรป
“นโปเลียนลูกหนัง” มิเชล พลาตินี่ ที่นั่งตำแหน่งประธานยูฟ่า ไม่ได้นิ่งนอนใจ กลายเป็นตัวกลางระหว่าง ฟีฟ่า, ยูฟ่า และ G-14 รีบเข้าเจรจากัน พร้อมข้อสรุปที่ว่า ทีมชาติต้องจ่ายเงินชดเชยทั้งค่ารักษาการบาดเจ็บ และให้เงินสโมสรเมื่อนำนักเตะไปเล่นทีมชาติ
ว่ากันตามเชิง ตอนนั้น G-14 กำลังจะพัง เพราะ คาร์ลไฮนซ์ รุมเมนิกเก้ ขาใหญ่แห่งบาเยิร์น มิวนิค เริ่มไม่พอใจ และกำลังจะถอนสมอ เพราะการทำงานที่ทื่อเป็นสากกะเบือของ ฟลอเรนติโน่ เปเรซ ประธานเรอัล มาดริด
ไม่เหมือนกับตอนแรกในช่วงเริ่ม ประธานชุดขาวตอนนั้นคือ ลอเรนโซ่ ซานส์
เมื่อตกลงกับ ยูฟ่า และฟีฟ่า เรียบร้อย...สุดท้าย G-14ได้สลายโต๋ ในปี 2008 นั่นเอง
ส่วน ECA ปัจจุบัน ยังคงอยู่ ทำหน้าที่เป็นตัวแทน“ความคิดแรก” ของ G-14 ไปในตัว เพราะเป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่ช่วยดูแลผลประโยชน์ของสโมสรฟุตบอลสมาคมอาชีพในยุโรป
เป็นหน่วยงานเดียวที่ ยูฟ่า ให้การรับรอง โดยเริ่มต้นมีสมาชิก 103 สโมสร จาก 53 สมาคมฟุตบอลทั่วยุโรป ตอนนี้มีสมาชิกรวมทั้งสิ้น 232 สโมสร สำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองนียงประเทศสวิตเซอร์แลนด์
ประธานสมาคมสโมสรฟุตบอลยุโรปตอนนี้ก็คือ อันเดรีย อันเญลลี่ ซึ่งดำรงตำแหน่งบิ๊กบอสของ ยูเวนตุส
G-14 ยุบไปในปี 2008 แต่หลังจากนั้น 1 ปี ในเดือนกรกฎาคม ปี 2009 ฟลอเรนติโน เปเรซ ประธานของเรอัล มาดริด ปัดฝุ่นเรื่องดังกล่าว และให้การสนับสนุนแนวคิดนี้แบบสุดลิ่มซึ่ง อาร์แซน เวนเกอร์ กุนซืออาร์เซนอล ในยุคนั้น คาดการณ์เอาไว้น่าสนใจว่าซูเปอร์ลีก จะกลายเป็นความจริงภายใน 10 ปีข้างหน้า
เนื่องจากเป็นสิ่งที่หลายสโมสรชั้นนำในยุโรป จะมีรายได้มหาศาล
หลังจากนั้นทุกอย่างดูเงียบไป กระทั่งปี 2017 มีภาพหลุดการนั่งพูดคุยกันของบอร์ดบริหารสำคัญของทีมชั้นนำยุโรป
l ความแตก-แฉ “ฟีฟ่า” อยู่เบื้องหลัง
ภาพการนั่งคุยกันเมื่อปี 2017 ประกอบด้วย เอ๊ด วู้ดเวิร์ดส์ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, อีวาน กาซิดิส ของอาร์เซนอล, อาวี่ เกลเซอร์ กับ โจเอล เกลเซอร์ ของแมนฯยูไนเต็ด และจอห์น เฮนรี่ ของลิเวอร์พูล ไม่มีใครบอกอะไรได้ กระทั่งอีก 1 ปีต่อมา
ในเดือนพฤศจิกายน 2018 Football Leaks อ้างว่ามีการพูดคุยกันอย่างลับๆ เกี่ยวกับการสร้างการแข่งขันระดับสโมสรระดับ ทวีปใหม่ นั่นคือ ยูโรเปี้ยน ซูเปอร์ ลีก หรือ ESL (European Super League) โดยมีการตั้งธงจะเริ่มต้นการดวลแข้งตั้งแต่ปี 2021
เบื้องต้นมีทีมที่จะร่วมดวลแข้งก็คือ บาเยิร์น, เรอัล มาดริด, บาร์เซโลน่า, แมนฯยู, ลิเวอร์พูล, อาร์เซนอล, เชลซี, แมนฯซิตี้, ปารีส แซงต์-แชร์กแมง, ยูเวนตุส, เอซี มิลาน คือกลุ่มทีมผู้ร่วมก่อตั้ง
ข้อสำคัญก็คือ ทีมที่เป็นผู้ก่อตั้งลีกทั้งหมด 11 ทีมนี้จะไม่ตกชั้น 20 ปี พร้อมกับเชิญทีมดังๆ อย่าง แอตเลติโก มาดริด,โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์, โอลิมปิก มาร์กเซย, อินเตอร์ มิลานและ โรม่า
วิธีจัดแข่งขันก็คือ เป็นฟุตบอลลีกของยุโรป ใช้รูปแบบแข่งเหย้าเยือน จัดคู่ขนานไปพร้อมๆ กับลีกภายในประเทศ
อย่างไรก็ตาม อาจจะไม่มีการเล่นในประเทศตัวเอง ถ้าหากการแยกตัวออกมาเป็นผลสำเร็จในอนาคต
ครั้งนั้น จานนี่ อินฟานติโน่ ประธานสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือ ฟีฟ่า ออกโรงต่อต้านการที่บรรดาทีมชั้นนำในยุโรป เตรียมจัดตั้งลีกใหม่คือ ยูโรเปี้ยนซูเปอร์ลีก European Super League เป็นที่เรียบร้อย ด้วยการยืนยันว่า จะแบนนักเตะที่ร่วมเล่นรายการนี้ในการแข่งขันฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย
กระทั่ง 24 ตุลาคม 2020
คำว่า “ยูโรเปี้ยน พรีเมียร์ลีก” เกิดขึ้นจนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างหนาหู
ว่า “ยูโรเปี้ยน พรีเมียร์ลีก” คือ “ภาคต่อ” จาก “ซูเปอร์ลีก”นั่นเอง!!!
รูปแบบการวาดโครงร่างครั้งนี้ อังกฤษ, ฝรั่งเศส, เยอรมนี, อิตาลี และ สเปน จำนวนทั้งหมด 16-18 ทีม แข่งขันกันในรูปแบบเก็บคะแนนพบกันทุกทีมโดยสโมสรได้คะแนนสูงสุด ซึ่งใครที่อยู่บนหัวตารางจะผ่านเข้าสู่รอบตัดเชือกแบบมินิทัวร์นาเมนท์
ยูโรเปี้ยน พรีเมียร์ลีก จะดำเนินการแข่งขันระหว่างฤดูกาลปกติเคียงข้างไปกับลีกภายในของแต่ละประเทศ รวมไปถึงศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ด้วยเช่นกัน
กรณีนี้ ข่าวได้ระบุว่า ฟีฟ่า เป็นผู้ “ชักใย” และนำเสนอขึ้นมาเพื่อที่จะยกระดับฟุตบอล พร้อมกับมีการแข่งขันแบบน็อกเอาต์สไตล์เพลย์ออฟ หลังจากจบการดวลแข้งแบบลีก คล้ายกันกับการแข่งขันกีฬา “อเมริกันเกมส์” ในสหรัฐ อาทิ อเมริกัน ฟุตบอล NFL, บาสเกตบอล NBA หรือ เบสบอล MLS
ประเด็นก็คือ จะอย่างไรก็แล้วแต่ ต้องย้อนกลับไปดูที่ “วัตถุประสงค์” การก่อตั้งขององค์กรนั้นๆ ด้วย ซึ่ง ฟีฟ่า จะต้องสนับสนุน และต่อยอดให้กับองค์กรลูกหนังทวีปต่างๆ ไม่ใช่ “จัดตั้ง” ขึ้นมาแล้วทำให้ทุกอย่าง “ขัดแข้งขัดขา” ซึ่งกันและกัน
เพราะถ้าจัดขึ้นได้จริง จะกระทบต่อแชมเปี้ยนส์ลีกของยูฟ่าแบบจังเบอร์
ยูฟ่า ได้เตรียมแผนรับมือเอาไว้ก็คือ เพิ่มทีมแข่งขันแชมเปี้ยนส์ลีก รอบแบ่งกลุ่ม จาก 32 ทีม เป็น 36 ทีมโดยเตรียมไว้ 2 แนวทาง
แนวทางแรกคือการแบ่งเป็น 6 กลุ่ม กลุ่มละ 6 ทีม และเตะพบกันหมดแบบเหย้าเยือนรวม 10 นัด
แนวทาง 2 คือ การประกบคู่แข่งขันเหมือนในอเมริกันเกมส์ คือ แต่ละทีมจะได้แข่งรอบแรก 10 นัดเท่ากัน โดยพบกับคู่แข่งไม่ซ้ำกัน และการประกบคู่จะใช้ผลการแข่งหรือการจัดกลุ่มทีมวาง
แนวทางที่สองนั้น คาดว่าจะได้รับการตอบรับมากกว่า เพราะเป็นระบบที่จะทำให้ทีมใหญ่เจอกันมากขึ้นในรอบแรก
หากทุกอย่างลงตัว ยูฟ่า ก็พร้อมเริ่มใช้ในฤดูกาล 2024/25
l สถานการณ์นำพา-กับโอกาสที่เป็นไปได้
การเปิดตัวครั้งนี้ เป็นช่วงเวลาที่หลายทีมกำลัง“เงินขาดมือ” ทำให้ “ธุรกิจฟุตบอล” ที่บอกว่าเป็นอมตะ อาจจะถึงคราวม้วยมรณา ทำให้ทุกอย่างต้องเดินหน้าไปหาเงิน
ซึ่งแนวคิดจะจัดทำฟุตบอลโปรเจกท์ใหม่ๆ “ไม่ใช่สิ่งผิด”แต่เป็นเรื่อง “ความเหมาะสม” มากกว่า
หลายคนอาจตกใจถึงการ “หงายไพ่” ของซูเปอร์ลีก แต่ย้ำว่ามันไม่ต่างอะไรจากครั้งที่แล้วเมื่อกว่า 20 ปีก่อน ในการเปิดตัวสมาชิกใหม่ยุค G-14
ระบบแข่งขันนั้น ได้วางแผนเอาไว้ว่าจะแข่งขันแบบแบ่งกลุ่มกลุ่มละ 10 ทีม นำท็อปโฟร์ของแต่ละกลุ่มไปเล่นรอบน็อกเอาท์8 ทีมสุดท้าย โดยทั้ง 12 ทีม ผู้นำได้ลาออกจากสมาชิก ECA แล้ว
ฟลอเรนติโน่ เปเรซ คือหัวหอกของชุดนี้ และทีมผู้บริหารคือ สแตน โครเอนเก้ จากอาร์เซนอล, จอห์น เฮนรี่ จากลิเวอร์พูล, อันเดรีย อันเญลลี่ จากยูเวนตุส และโจเอล เกลเซอร์ จากแมนฯยู
แน่นอนว่าเสียงวิจารณ์สับแหลกจากรอบข้างมากันเพียบ เนื่องจากมันจะทำลายระบบ”พีระมิดฟุตบอล”ภายในประเทศ ทำลายประเพณีฟุตบอล ยุทธวิธีในการเล่นถ้วยใหญ่แตกต่างกันออกไป แม้ทางกลุ่ม ซูเปอร์ลีก จะยืนยันว่า พร้อมลงสนามในฟุตบอลลีกก็ตาม
ยูฟ่า ในฐานะเจ้าของรายการแชมเปี้ยนส์ลีก ที่จะได้รับผลกระทบโดยตรง หากมี ซูเปอร์ลีก ก็ได้ออกแถลงการณ์ร่วมกับ พรีเมียร์ลีก,ลาลีกาและกัลโช่เซเรียอา คัดค้านโปรเจกท์นี้ในทุกกรณี ที่ทุกคนมองว่า เป็นการกระทำที่ “เห็นแก่ได้” และเพื่อผลประโยชน์ “บางสโมสร” เท่านั้น
มันเป็นโปรเจกท์ที่ “ฉวยโอกาส” ในช่วงเวลาที่สังคมต้องการความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน กลับหนีไปเพื่อรับเงินมหาศาล โดยไม่สนใจทีมอื่นๆ ที่อยู่จัดทำระบบกันมานานนับร้อยปี
น่าสนใจว่า ฟีฟ่า เองก็แสดงท่าทีอันแข็งกร้าว ร่วมกับยูฟ่า ว่า ทุกสโมสรและนักเตะที่มีส่วนร่วมกับซูเปอร์ลีก จะถูกแบนจากการแข่งขันทั้งเกมสโมสรและทีมชาติ ถือเป็นจังหวะที่ดีด้วย เพราะ อเล็กซานเดอร์ เซเฟริน บิ๊กบอสยูฟ่า เป็นพวกเดียวกับจานนี่ อินฟาติโน่ ประธานฟีฟ่า
ถ้าเป็นยุค โจอัว ฮาเวลานจ์ หรือ เลนนาร์ท โยฮันส์สัน นี่อาจจะออกอีกทางเลยก็ได้
แต่นั่นแหละ ใครจะรู้บ้างว่า อะไรจะเกิดขึ้น เพราะทั้งหมดคือ “เกมแห่งธุรกิจ” ทั้งหมดมาจาก “เงินตัวเดียว” เพราะหากสำเร็จขึ้นมาจะได้รับเงิน “คูณสอง” ขึ้นไปเลย
รวมกันเราอยู่ แยกหมู่เราตาย หรือจะรวมกันไปทำอะไรแยกกันไปตายดีกว่าอยู่!!!
เชื่อใจใครได้บ้างละครับเนี่ย!!!!
บี แหลมสิงห์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี