ตาม‘หงส์’ลงสนาม วันหักกระบอก‘ปืน’ โดย บีแหลมสิงห์
ชัยชนะมักเป็นสิ่งที่หอมหวานเสมอ ยิ่งชัยชนะเหนือทีมที่ใหญ่พอกันอย่าง “ปืนใหญ่” อาร์เซนอล ยิ่งช่วยให้ความมั่นใจของพลพรรค “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล เอฟซี มีมากขึ้นไปกว่าเดิม
สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นในเกมนี้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มก็คือ “การแก้ปัญหา” ที่ เยอร์เก้น คล็อปป์ ต้องเจอมาหนักมากตลอดซีซั่นเศษ ๆ ที่ผ่านมา นั่นคือนักเตะบาดเจ็บ จากกองหลังไปสู่กองกลาง
ปีก่อนใช้”เซ็นเตอร์ฮาล์ฟ”สลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนจนเสียขบวน เพราะการใช้”คู่เซ็นเตอร์”มากถึง 25 คู่ มันไม่มีผลดีตั้งแต่ นายประตู ที่จะต้องสั่งการ, การยืนไลน์เกมรับ, การเปิดบอลจากแนวลึก, การเซ็ตบอล และ และ และ
แค่ 4 อย่างนี้แค่คิดก็เละแล้ว
การกระโดดเข้าตลาดที่เชื่องช้า เงอะงะ ทำให้การทำงานของ คล็อปป์ ยากขึ้นไปอีก เพราะปัญหาเกิดตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคม 2020 แต่บอร์ดรอมาแก้ในวันที่ 30 มกราคม 2021
มาในซีซั่นนี้ไม่ได้เกี่ยวกับการปล่อย จอร์จินโย่ ไวจ์นัลดุม ออกไป เพราะที่เรียงรออยู่ก็แทบจะขี่คอกันแล้ว และไม่ได้ประมาทเหมือนกับมี”เซ็นเตอร์ฮาล์ฟ 3 คน” เฉกปีก่อน
ปีนี้กองกลางยืนรออยู่คือ ฟาบินโญ่, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, นาบี เกอิต้า, ธิอาโก้ อัลคันตาร่า, เคอร์ติส โจนส์, อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน และเจมส์ มิลเนอร์ ที่พร้อมสแปร์อยู่ในทุกมุม
ทั้งหมดนี้ลงได้แค่ 3
ตัวละครลับโผล่มาอย่าง ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ เป็น “ตัวที่ 8” ยิ่งทำให้ทุกคนรู้ว่า ทำไมถึงไม่ได้ต้องไปเติมใครมาอีก เพราะถ้าเอาจากอะคาเดมี่มาอีก 1 คน
กองกลางจะแบ่งได้เป็น 3 ชุดปฏิบัติ
ทีนี้พอเตะไปเตะมา เกิดมีปัญหาผู้เล่นบาดเจ็บมากมายต่อเนื่อง และกลายเป็น”เล่นงาน”แต่แดนกลาง ทำให้แพลนของ คล็อปป์ มีปัญหาขึ้นมาแบบน่าตกใจ
เรื่องนี้ไม่ได้ประมาท แต่เป็นอุบัติเหตุ
เป็นอุบัติเหตุที่หนักกว่าปีก่อน เพราะปีก่อนมี 3 ลง 2 แต่ปีนี้มีถึง 8 ลง 3 มีสำรองไว้ตั้ง 5 ยังอุตส่าห์นะ.....ยังอุตส่าห์
ดังนั้นกองกลางจึงมีการเปลี่ยนแปลงมากมาย 12 เกมที่ลงเล่น ต้องใช้กองกลางไปแล้วถึง 10 ชุด ได้ใช้ซ้ำติดกันแค่สองเกม นี่ก็มีความต่างเช่นกัน เพราะแผนหนึ่งแผนสอง กระทั่งนับแผนสาม ไม่สามารถใช้ได้เลย
ภาพตัดมาที่นักบอลที่เล่นตัวสำรองไม่สะดวก เป็นตัวจริงก็ต้องใช้เวลาในการเล่นอย่าง อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน ได้สตาร์ท แน่นอนว่าเขาเริ่มต้นได้ช้า และไม่ถูกใจแฟนบอลที่ลืมไปแล้วว่า เขาเคยทำผลงานไว้อย่างไร
ได้เล่นไปหลายนัด จนถึงเกมล่าสุด ปัจจัยที่ว่า “เจอทีมเก่าต้องตั้งใจ” ถูกกลับตั้งเป็นสมมติฐานกันอีกครั้ง แต่สุดท้ายผมมองว่า บอลสไตล์ที่ใกล้เคียงกันมายืนอยู่ข้าง ๆ อย่าง ธิอาโก้ อัลคันตาร่า
มันอาจจะเป็นไปได้มั๊ยว่า ทั้งสองคนนี้ “ศีลเสมอกัน”
เปล่า!!!!ผมไม่ได้บอกว่า “ช่างเชื่อม” อยู่ในระดับเดียวกับ ธิอาโก้ แต่เป็นเพราะ “จังหวะ” ในการเล่นที่เหมือนกับว่า “รอนิดนึง” ก่อนที่ “บอลจะออกจากเท้า”
เมื่อออกสตาร์ทพร้อมกัน “ลิททึ่ม”มันเลยได้กันหรือไม่
ไม่ได้เร็ว หรือตะบึงได้เหมือนกันกับ เฮนเดอร์สัน, มิลเนอร์ หรือปราดเปรียวคล่องแคล่วแบบ เกอิต้า แต่มี “จังหวะของเขา”ในการเล่น
ขณะเดียวกัน คนสำคัญสุด ๆ คงไม่พ้น ฟาบินโญ่ ที่ไม่ทำให้เพื่อนเป็น”เป้านิ่ง”มากจนเกินไป และการขยับของเขาแต่ละทีเกมนี้สกรีนได้หมดจน และชัดเจน
จุดหนึ่งก็คือ กองกลางของอาร์เซนอล ที่พอโดนบดเพรสเร็ว ๆ เพรสถึง ๆ ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะสองคนที่ยืนอยู่หน้าเซ็นเตอร์นั้นเป็นสไตล์ตัดเกม ไม่ใช่สร้างเกม ทั้ง ปาเตย์ และโลกองก้า
บอลของอาร์เซนอล ใช้แนวรับเซ็ตบอลแล้วเบิ้ลกับคู่กลางจากนั้นแทงให้ตัวด้านข้างที่มีความเร็ว และตัดไหนเก่งอย่าง สมิธ-โรว กับ ซาก้า เป็นตัวหา จากนั้นให้ ลากาแซตต์ วิ่งร่วมไลน์ไปกับ โอบาเมยัง
คล็อปป์ แก้หมากตรงนี้มาหมด ทำให้บอลด้านข้างของอาร์เซนอล กลายเป็นอมพฤกษ์ไปเลย
อย่างที่ได้วิจารณ์ผ่านทางรายการอารีน่า 36 ที่พีพีทีวี เอชดี ไปว่า ฟุตบอลของ มิเกล อาร์เตต้า ไม่ค่อยชอบทีมที่เล่นด้านกว้างได้ดี ไม่เพียงทีมนั้นมีตัวรุกริมเส้นที่เก่งเท่านั้น แต่ถ้ามีแบ๊กมาช่วยกดได้ยิ่งเป็นรอง
นั่นเป็นเพราะว่าตัวรุกทั้ง 4 ของอาร์เซนอล จะไม่เล่นเกมรับใด ๆ หรือถ้าให้ลงมา พวกเขาจะเล่นไม่ได้ ซึ่งแผนที่ผ่านมา เกมรับของ อาร์เตต้า เค้าใช้แค่ 6 คนเท่านั้น แต่ไม่มีใครคิดหรอกว่า สกอร์มันจะออกมากขนาดนี้ แต่ในรูปเกมที่ออกมา ถ้าหากไม่ได้การเซฟเป็นพัลวันของ แอร่อน แรมส์เดลล์ ก็น่าจะหนักกว่านี้แน่นอน
เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ เล่นได้อย่างโดดเด่น พื้นที่ฝั่งขวามีเยอะมาก เนื่องจาก อ็อกซ์เลด ที่เล่นได้น่าสนใจมากในนัดนี้ ไปปิดทางของ ปาเตย์ ทำให้พื้นที่เปิดโล่งและมีเวลา ส่วน โลกองก้า แทบจะขาดห้วงกับการช่วยมาปิดทาง มาเน่ กับ ซิมิกาส ที่ก๋ากั่นตลอดทั้งเกม ทำให้ โลกองก้า ต้องถูกถอดออก เพราะวิ่งไม่ไหวแล้ว แม้ว่าครึ่งหลังจะถูกโยกฝั่งมาปิดขวา ก็ไม่เหลือแรง
ฟุตบอลพอเล่นแล้ว “ไม่มีเวลาคิด” ฟุตบอลพอเล่นแล้ว “โดนบี้ติด” และสำคัญก็คือ ฟุตบอลพอเล่นแล้ว”ต้องไล่ไม่เจอบอล” ตรง ๆ คือ ทรมานสุด ๆ
ใครเคยเล่นตรงนี้มาคือ ตัวไล่ จะรู้เลยว่า แสงไฟระยับระยิบไม่ใช่ซ่องเจ๊หยิบแต่เป็นกุหลาบทิพย์ภาพยนตร์ มันเป็นยังไง
วิ่งไปแล้วดาวขึ้นยิบยิบยิบนั่นแหล่ะ เตรียมออกไปพักได้เลย
เมื่อมองถึงอีกฟาก ซิมิกาส ถูกเขียนเรื่องสถิติ 7 นัด ชนะรวด และคลีนชีตทั้งหมด รวมถึง ฟาน ไดจ์ค ไม่แพ้ในเกมลีกที่แอนฟิลด์ นัยสำคัญก็คือ ผลงานทีม
แต่คนที่ทำเพื่อทีมมาตลอด ค่อย ๆ ฟื้นตัวเองกลับมาและน่าชื่นชมคือ มาเน่ ครับ
เขาเคยขึ้นเบอร์ 1 ในทีม เมื่อปีที่ได้แชมป์ยูซีแอล 2019 และสำคัญสุดๆในปีที่เป็นแชมป์พรีเมียร์ลีก 2020 แต่เขาก็คือมนุษย์จริง ไม่ใช่มนุษย์แปลง ย่อมมีขึ้นลงเป็นสัจธรรม
สองสามเกมมานี้ มาเน่ มาแน่มาชัวร์มาก ๆ และถ้าหากเขาเล่นดีจะช่วยเปล่งรัศมีแขร์ให้กับ โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ ได้อีกครั้ง
กระจายกำลังกันออกไปได้ดี และการยืนตำแหน่งหน้าเป้าที่ต่างสไตล์ของทั้ง ฟีร์มิโน่ และดีโอโก้ โชต้า ก็ต้องชมทั้ง ซาล่าห์ และมาเน่ ด้วยในการปรับสไตล์แทบจะทุก ๆ วีค
สูตรเหมือนกัน 4-3-3 แต่เพื่อนเล่นไม่เหมือนกันเลย นี่ปวดเฮดนะ
ก็เหมือนกับ “กลางสามคน” นี่แหล่ะ ต่างคนก็ต่างสไตล์ แผน A, B และ C ที่วาดเอาไว้ ต้องเปลี่ยนทุกสัปดาห์นี่ก็ปวดเฮด
ชัยชนะนี่แหละคือ “ยาแก้ปวด” ชั้นดีที่สุดแล้ว.............
ขนาด มินามิโนะ ยังปลดล็อคได้เลย
บี แหลมสิงห์
-005
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี