กมใหญ่ที่มหานครลอนดอน จบลงไปแบบ “เหมาะสมกันดี” แต่รับรองว่าไม่มีใครแฮปปี้เอนดิ้งอย่างเต็มใจ
เชลซี เสมอกับ ลิเวอร์พูล ที่เดอะ บริดจ์ เกมสนุกลุกนั่งไม่ได้ เพราะมันเร้าอารมณ์ อาจจะไม่ถึงกับเกมระดับไก่ย่างห้าดาว เพราะครึ่งแรกทั้งสองฝ่ายเต็มไปหมดซึ่งข้อผิดพลาด
จนทำให้สกอร์มาจอดที่ 2-2
จากนั้นในครึ่งหลัง เมื่อ “สติ” มา แล้ว “ปัญญา” ก็เกิดทั้งสองฝั่งลดความผิดพลาดน้อยลง สุดท้ายสกอร์ตรึงไว้และแบ่งไปทีมละ 1 คะแนน
มันอาจจะไม่ดีหรอกเมื่อต้องตามหลัง แมนฯซิตี้ ถึงสองหลักทั้งที่เกมเพิ่งผ่านพ้นไปแค่ครึ่งฤดูกาล
แต่เตะแบบนั้น ชนะรวด 11 นัด บางทีก็ต้องเข้าใจกันบ้าง
เกมนี้ คือค่ำคืนประวัติศาสตร์ในฐานะเกมแรกในรอบ 28 ปี ที่จะมี “อัฒจันทร์แบบยืน” กลับมาสู่ฟุตบอลอังกฤษอีกครั้ง หลังเกิดโศกนาฏกรรมที่ฮิลส์โบโรห์ จนทำให้มีผู้เสียชีวิต 97 ราย และมีการให้ปรับเป็นที่นั่งทั้งหมดในปี 1994
ในเนื้อเกมความผิดพลาดมากมายเกิดขึ้น ก่อนที่ ลิเวอร์พูล จะมาฉกฉวยโอกาสนี้ได้ประตูแรก และการเปิดบอลสวยๆ ในการแนบเล่นด้านในกว่า 5 นาที ของ เทรนท์อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ เปิดช่องให้ โม ซาลาห์ พาบอลไปหลอก มาร์กอส อลอนโซ่ และยิงเสาแรกอย่างคุณภาพให้ ลิเวอร์พูล นำ 2-0
แต่มันเหมือนกับเกมที่เบรนท์ฟอร์ด นั่นก็คือ โอกาสประตูทิ้งห่างออกมาไปจากการให้บอลวันนี้ที่ได้เสียของ ดีโอโก้โชต้า
อย่างไรก็ดี เมื่อยังเป็น 2 ลูก ก็รอให้ผีสิงห์ลุกขึ้นมาจากหลุมได้สำเร็จ
ประตูของ มาเตโอ โควาซิซ เอาเข้าจริง ให้ยิงใหม่จะเข้าหรือเปล่าไม่รู้ แต่ลูกนั้นเป็นการยิงแบบ “ทักษะเต็มสิบ” ส่วนผลลัพธ์ก็อยู่ที่มันจะเป็นอย่างไร เพราะจัดระเบียบร่างกายได้เหลือเชื่อ
ยังไม่ทันหายมึนก็โดนตีเสมอได้สำเร็จจาก คริสเตียนพูลิซิซ ประเด็นก็คือ บ่อยครั้งหรือไม่ที่บอลหลุดไปแล้ว เฟอร์จีลฟาน ไดจ์ค น่าจะเข้ามาบล็อก มากกว่าจะวัดใจแล้วกันแต่ตัวนอก
ลักษณะมันก็เหมือนกับการเสียประตูให้ เลสเตอร์ แต่หนนี้มันเร็วกว่า ซึ่งคุณภาพของดาวยิงกัปตันอเมริกานั้นดีอยู่แล้ว
ปัญหาก็คือ พอเตะกันมาแบบไฟแล่บแทบหมดแรงในครึ่งแรก พอลงครึ่งหลังโอกาสมีมากเหมือนกัน แต่นายประตูของทั้งสองทีมวันนี้อยู่ในฟอร์ม
เอดูอาร์ เมนดี้ ชื่อนี้การันตีความอร่อยเซฟ ส่วน ควีวีนเคลเลเฮอร์ ที่ได้เล่นแทน อลิสซอน เบ๊คเกอร์ ที่ติดโควิดไปพร้อมกับ ฟีร์มิดน่ และโฌแอล มาติ๊ป ซึ่ง ควีวีน เจอเกมใหญ่เซฟสำคัญได้ 3-4 คราขนาดนี้ถือว่า เนียนตา
ทั้งสองทีมกำลังรุงรังทั้งอาการบาดเจ็บ, โควิด และฟอร์มการเล่นที่เสถียร
โดยเฉพาะ ลิเวอร์พูล ที่ติดยันโค้ช ไม่มี เจอร์เก้น คล็อปป์ อยู่ข้างสนาม และไม่รู้ว่าไวรัสนี้มันจะยังไงกับโลกของเราต่อไป
อีกทั้ง “จำเป็น (หรือไม่)” ที่จัดเอา จอร์แดน เฮนเดอร์สันกับ เจมส์ มิลเนอร์ ลงพร้อมกัน ซึ่งคู่นี้เป็นสไตล์ “รถไถ” ถ้าเล่นร่วมกันเกิน 45 นาที สถิติมันฟ้องว่า 10 นัด ชนะ 3 เสมอ แพ้ 4 ตั้งแต่ซีซั่น 2018-19 เป็นต้นมา
หรือการให้ นาบี เกอิต้า ที่ต้องไปเล่นแอฟริกัน คัพ ออฟ เนชั่นส์ เป็นแค่สำรอง รวมไปถึงการเปลี่ยน ดีเอโก้ โชต้าออกไปทำไม...
ส่วน เชลซี ที่มีปัญหาภายในทีม เพราะ โรเมลูลูกาคู ทำสิ่งที่ไม่ควรทำ คือการให้สัมภาษณ์จวกแท็กติกของทีมจนถูกดร็อป แถมยังขาด “สองวิงแบ๊ก” ซึ่งถือเป็นจุดแข็งของทีมไปทั้งสองฝั่ง
เท่ากับว่า สองทีมที่มี “กองหลัง” ที่เล่นเกมรุกได้ทรงประสิทธิภาพที่สุดในลีก กลับใช้งานได้แค่คนเดียวคือ เทรนท์ เท่านั้น
ที่แน่ๆ หมดเกมนี้ แมนฯซิตี้ หัวเราะจนเหนื่อย ส่วน เชลซีกับ ลิเวอร์พูล บดกันจนปี้และป่น
แมนฯซิตี้ นำไกล 10 และ 11 แต้มตามลำดับ แน่นอนที่สุดไม่มีใครต้องการผลเสมอ
แต่บอลมันมาขนาดนี้ ไม่แพ้ก็ถือว่าดีแล้ว...
บี แหลมสิงห์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี