การแข่งขันฟุตบอลเอฟเอ คัพ อังกฤษ รอบชิงชนะเลิศ ครั้งที่ 150ฟาดแข้งกันที่นิว เวมบลีย์ สเตเดี้ยม มหานครลอนดอน เป็นการโคจรมาพบกันของ “สิงห์บลูส์” เชลซี แชมป์ 8 สมัย ที่จะดวลกับ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล แชมป์ 7 สมัย ในเวลา 22.45 น.
นับเป็นครั้งที่สองในประวัติศาสตร์วงการฟุตบอลอังกฤษ ที่นัดชิงชนะเลิศฟุตบอลถ้วยสองรายการก็คือเอฟเอคัพ กับ ลีกคัพ เป็นคู่แข่งคู่เดียวกัน โดยก่อนหน้านี้ชิงลีกคัพ หรือ คาราบาว คัพ “หงส์แดง”เตะจุดโทษชนะมโหฬาร 11-10
“สิงห์บลูส์” เชลซี รั้งอันดับ 3 ของศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ นัดล่าสุดเพิ่งบุกถล่มเอาชนะ “ยูงทอง” ลีดส์ ยูไนเต็ด 3-0 เกมนี้จะหมดสิทธิ์ใช้งาน เบน ชิลเวลล์ และคัลลั่ม ฮัดสัน-โอดอย สอง
ผู้เล่นที่มีอาการบาดเจ็บ รวมไปถึงแดนกลางอย่าง มัตเตโอ โควาซิซ และเอ็นโกโล่ ก็องเต้ ด้วย โดยรายแรกไม่น่าจะลงเล่นได้เพราะเพิ่งบาดเจ็บข้อเท้า แม้จะมีข่าวว่ากลับลงมาซ้อมแล้วก็ตาม
ที่เหลือทีมของ โธมัส ทูเคิ่ล ไม่มีปัญหาอะไร มาในระบบ 3-4-2-1 อาจจะต้องส่ง รูเบน ลอฟตัส-ชีค ลงไปคุมแดนกลางร่วมกับ จอร์จินโญ่ แผงเกมรุกมี เมสัน เม้าท์ เป็นตัวยืนประสานงานกับ คริสเตียน พูลิซิซ ส่วนหน้าเป้าใช้ โรเมลู ลูกากู ที่เพิ่งยิงสองประตูในเกมล่าสุด
ฝั่ง “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ยังคงไล่ล่าคว้า แชมป์รายการที่ 2 หลังจากที่ได้ไปแล้ว 1 รายการคือ คาราบาว คัพ ผลงานนัดล่าสุดบุกเอาชนะ “สิงห์ผงาด” แอสตัน วิลล่า ในเกมลีก 2-1 แต่นัดนี้ เจอร์เก้น คล็อปป์ ต้องเจอบททดสอบที่สำคัญเมื่อจะหมดสิทธิ์ใช้งาน ฟาบินโญ่ มิดฟิลด์ตัวรับคนสำคัญที่มีอาการบาดเจ็บนอกนั้นไม่มีอะไรต้องกังวล
ยึดระบบการเล่น 4-3-3 แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ที่ได้พักจะกลับมาประจำการแบ๊กซ้าย ส่วน จอร์แดน เฮนเดอร์สัน จะเสียบแทน ฟาบินโญ่ ขนาบข้างไปด้วย นาบี เกอิต้า และธีอาโก้ อัลคันทาร่า สามแนวรุกเลือก โมฮาเหม็ด ซาลาห์, ซาดิโอ มาเน่ และหลุยส์ ดิอาซ
สถิติการพบกันของทั้งสองทีมดวลกันมาทั้งหมด 11 ครั้งในศึกเอฟเอ คัพ อังกฤษ ไม่เคยจบลงด้วยผลเสมอ เชลซี ทำได้ดีกว่าเอาชนะ 7 ครั้ง ส่วน ลิเวอร์พูล ชนะ 4
ทั้งสองทีมเคยพบกันในรอบชิงชนะเลิศมาแล้วเมื่อปี 2012 ในเวลานั้นต่างก็ใช้กุนซือขัดตราทัพ เชลซี คุมทัพโดย โรแบร์โต้ดิ มัตเตโอ ที่เข้ามาทำงานแทน อังเดร วิลาส-โบอาส ส่วน ลิเวอร์พูล ได้ตำนานอย่าง เซอร์ เคนนี่ ดัลกริช ที่เข้ามาแทน รอย ฮ็อดจ์สัน
ปรากฏว่า เชลซี ออกนำอย่างรวดเร็วในนาทีที่ 11 จากรามิเรส และมาได้ประตูที่สองจาก ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา ในช่วงครึ่งหลังนาทีที่ 52 “หงส์แดง” ไม่ยอมแพ้ไล่ตีไข่แตกจาก แอนดี้ แคร์โรลล์นาทีที่ 64 และเกือบตีเสมอจากการโหม่งของ แคร์โรลล์ คนเดิม แต่บอลชนคานเด้งลงมาแต่ยังไม่ข้ามเส้นประตู
ทำให้จบเกม เชลซี เฉือนเอาชนะ ลิเวอร์พูล 2-1 ผงาดคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ ไปครองได้สำเร็จ ในครั้งนั้น
สำหรับผู้ตัดสินเกมนี้คือ เคร็ก พาวสัน โดยมี เดวิด คูต เป็นผู้ตัดสินคนที่ 4 และพอล เทียร์นี่ย์ เจ้าหน้าที่ VAR
11 ผู้เล่นที่คาดว่าจะลงสนาม
เชลซี (3-4-2-1): เอดูอาร์ เมนดี้, เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า, ตีอาโก้ ซิลวา, อันโตนิโอ รือดิเกอร์, รีซ เจมส์, รูเบน ลอฟตัส-ชีค, จอร์จินโญ่, มาร์กอส อลอนโซ่, เมสัน เม้าท์, คริสเตียนพูลิซิซ และโรเมลู ลูกากู
ลิเวอร์พูล (4-3-3): อลิสซอน เบ๊คเกอร์, เทรนท์อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, โฌแอล มาติ๊ป, เฟอร์จีล ฟาน ไดจ์ค,แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน, นาบี เกอิต้า, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, ธีอาโก้ อัลคันทาร่า, โมฮาเหม็ด ซาลาห์, ซาดิโอ มาเน่ และหลุยส์ ดิอาซ
สกอร์ที่คาด : เชลซี 1-2 ลิเวอร์พูล
เส้นทางสู่เวมบลีย์
เชลซี
รอบ 3 : (เหย้า) ชนะ เชสเตอร์ฟิลด์ เอฟซี 5-1
รอบ 4 : (เหย้า) ต่อเวลาชนะ พลีมัธ อาร์ไกล์ 2-1
รอบ 5 : (เยือน) ชนะ ลูตัน ทาวน์ 3-2
รอบก่อนรองชนะเลิศ : (เยือน) ชนะ มิดเดิ้ลสโบรช์ 2-0
รอบรองชนะเลิศ : (สนามกลาง) ชนะ คริสตัล พาเลซ 2-0
ลิเวอร์พูล
รอบ 3 : (H): ชนะ ชรูว์สบิวรี่ ทาวน์ 4-1
รอบ 4 : (H): ชนะ คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ 3-1
รอบ 5 : (H): ชนะ นอริช ซิตี้ 2-1
รอบก่อนรองชนะเลิศ : (A): ชนะ 1-0 ฟอเรสต์
รอบรองชนะเลิศ : (N): ชนะ แมนฯซิตี้ 3-2